ตั้งสติรับมือปี 2568 หนักหน่วงไม่แพ้ช่วงโควิด
ก่อนอื่นกองบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจขอกราบสวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน อวยพรให้ ปี2568 เป็นปีที่ดีของทุกคนและทุกภาคธุรกิจ แม้ว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่นักเศรษฐศาสตร์ทำนายว่า จะหนักหน่วงรุนแรงไม่แพ้ช่วงวิกฤติโควิด บางคนถึงกับบอกว่า “หนักกว่า” ด้วยซ้ำ
เพราะช่วงโควิดเรารู้ว่ายังไงก็มีวันสิ้นสุด แต่สถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญนี้ไม่รู้เลยว่าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน ที่สำคัญมองไปในปีนี้มีหลายเรื่องหลายความท้าทายกำลังรอเราอยู่
ความท้าทายแรกที่รออยู่หน้าประตูบ้านเราในเวลานี้ คือ ความเสี่ยงจาก “สงครามการค้า” ที่อาจปะทุหนัก การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย ซึ่งประกาศว่าพร้อม “ขึ้นภาษี” กับทุกประเทศที่เอาเปรียบสหรัฐ ประเด็นนี้สร้างความกังวลใจกับนักธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลก เพราะความซับซ้อนของกฎระเบียบการค้าโลกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ขณะที่ไทยเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักคงหนีไม่พ้นผลกระทบดังกล่าวด้วย
ประเด็นท้าทายถัดมา คือ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น แม้ว่า “ทรัมป์” จะประกาศชัดเจนว่า สงครามยูเครน-รัสเซีย จะจบภายใน 24 ชั่วโมงหลังเขาขึ้นรับตำแหน่ง แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่มีใครปักใจเชื่อ ขณะที่สถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันกลับดูทวีความรุนแรงมากขึ้น และไม่ใช่แค่สงครามยูเครน-รัสเซียเท่านั้น ฮอตสปอตในจุดอื่นๆ ก็ยังคงดุเดือดรุนแรงอยู่เช่นกัน ที่สำคัญไปกว่านั้นความวุ่นวายอีกหลายๆ จุดก็เริ่มก่อตัวให้เห็นหลัง ทรัมป์ ประกาศยึดคืนคลองปานามา หรือแม้กระทั่งส่งสัญญาณว่าอยากซื้อเกาะกรีนแลนด์มาเป็นของสหรัฐ
กลับมาดูเรื่องใกล้ตัวในประเทศ ประเด็น “หนี้ครัวเรือน” ยังคงเป็นความเสี่ยงใหญ่ของเศรษฐกิจไทย แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือที่ตรงจุดมากขึ้นผ่านโครงการคุณสู้เราช่วย แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอ เพราะมีอีกหลายกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ และประเด็นที่สำคัญสุดของปัญหานี้ไม่ได้อยู่แค่เฉพาะการลดหนี้ สิ่งที่เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลต้องเร่งแก้ คือ จะทำให้คนกลุ่มนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างไร เพื่อจะมีเงินเพียงพอชำระหนี้หรือมีความเป็นอยู่ในชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” บอกเองว่าจะทำให้ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสของคนไทยทุกคน
ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นหนีไม่พ้นที่รัฐบาลจะต้องเร่งผลักดันให้จีดีพีเติบโตได้ดีขึ้น แต่ท่ามกลางความเสี่ยงที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ประกอบกับพื้นที่การคลังของไทยเหลือน้อยลงทุกวัน จึงเป็นโจทย์ยากที่รัฐบาลจะแบกภาระเหล่านี้ไว้คนเดียว สิ่งที่พอจะช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ คือ ภาคเอกชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ...ที่ผ่านมาประเทศไทยขาดการลงทุนไปนานมาก ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็ควรต้องมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศให้เอื้อกับการลงทุนผ่านการทำนโยบายการเงินที่ไม่ตึงตัวจนเกินไป เราเห็นว่าการจะไต่พายุเศรษฐกิจปี 2568 ขึ้นมาได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน แต่ก่อนไปถึงจุดนั้นเราคงต้องตั้งสติให้ดี เพื่อรับมือกับพายุที่เตรียมจะโถมเข้ามา!