ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 3% ในปี 2024 ย่อลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 3% ในปี 2024 ย่อลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

ราคาน้ำมันดิบลดลงประมาณ 3% ในปี 2024 ถือเป็นการลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์หลังการระบาดใหญ่ของโควิค หยุดชะงัก เศรษฐกิจของจีนประสบปัญหา และสหรัฐ และผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกรายอื่นๆ อัดฉีดน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดโลก

รอยเตอร์สรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในวันอังคาร(31ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของปี ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 65 เซ็นต์ หรือ 0.88% แตะที่ 74.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตของสหรัฐ (WTI ) ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 73 เซ็นต์ หรือ 1.03% แตะที่ 71.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาอ้างอิงเบรนท์ปิดตลาดลดลงประมาณ 3% จากราคาปิดตลาดปี 2023 ที่ 77.04 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ทรงตัวจากราคาปิดตลาดปีที่แล้ว

ในเดือนกันยายน สัญญาล่วงหน้าเบรนต์ปิดตัวต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 และในปีนี้ เบรนต์ซื้อขายต่ำกว่าระดับสูงสุดที่เห็นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยอุปสงค์หลังการระบาดใหญ่ฟื้นตัว และราคาผันผวนหนักจากการที่รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 เริ่มซาลง

ผลสำรวจรายเดือนของรอยเตอร์สเมื่อวันอังคารแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันน่าจะซื้อขายที่ประมาณ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2025 เนื่องจากอุปสงค์ของจีนอ่อนแอและอุปทานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยความพยายามที่นำโดยกลุ่มโอเปกพลัส ที่จะค้ำจุนตลาด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวโน้มอุปสงค์ที่อ่อนแอในจีนทำให้ทั้งองค์กรร่วมประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (OPEC) และสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ต้องปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในปี 2024 และ 2025

IEA มองว่าตลาดน้ำมันในปี 2025 จะมีปริมาณน้ำมันส่วนเกิน แม้ว่าโอเปกและพันธมิตรจะเลื่อนแผนการเริ่มเพิ่มการผลิตออกไปจนถึงเดือนเมษายน 2025 ท่ามกลางราคาที่ลดลง

การผลิตน้ำมันของสหรัฐเพิ่มขึ้น 259,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.46 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนตุลาคม เนื่องจากความต้องการน้ำมันพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยเมื่อวันอังคาร

EIA คาดว่าการผลิตน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ 13.52 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า

นักลงทุนจะจับตามองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ในปี 2025 หลังจากที่คณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐคาดการณ์ในเดือนนี้ว่าแนวโน้มดังกล่าวจะชะลอตัวลงเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง

โดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการพลังงาน

นักวิเคราะห์บางคนยังเชื่อว่าอุปทานอาจตึงตัวในปีหน้า ขึ้นอยู่กับนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงนโยบายเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรด้วย ทรัมป์เรียกร้องให้หยุดยิงในสงครามรัสเซีย-ยูเครนทันที และเขาอาจกลับมาใช้มาตรการกดดันสูงสุดต่ออิหร่านอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อตลาดน้ำมัน

“ด้วยความเป็นไปได้ที่มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่านจะเข้มงวดยิ่งขึ้น โดยทรัมป์จะเข้ามาในเดือนหน้า เราคาดว่าตลาดน้ำมันจะตึงตัวมากขึ้นในปีใหม่” ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ Price Futures Group กล่าว โดยอ้างถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของอินเดียและข้อมูลภาคการผลิตของจีนที่แข็งแกร่งขึ้นล่าสุด

กิจกรรมการผลิตของจีนขยายตัวเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันในเดือนธันวาคม แม้จะชะลอตัวลงก็ตาม ซึ่งบ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่กำลังช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ราคาน้ำมันปรับขึ้นในวันอังคาร หลังกองทัพสหรัฐเปิดเผยว่าได้โจมตีเป้าหมายกลุ่มฮูตีในซานาและสถานที่ชายฝั่งในเยเมนในวันจันทร์และวันอังคาร

กลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านโจมตีการเดินเรือพาณิชย์ในทะเลแดงมาเป็นเวลากว่า 1 ปี เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ ท่ามกลางสงครามในฉนวนกาซาของอิสราเอลที่กินเวลานานถึง 1 ปี ซึ่งคุกคามตลาดน้ำมันทั่วโลก