อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ฟื้น ปี 68 ตั้งเป้าผลิตเพิ่มแค่ 3.1 หมื่นคัน

อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ฟื้น ปี 68 ตั้งเป้าผลิตเพิ่มแค่ 3.1 หมื่นคัน

อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2567 เป็นปีที่ถดถอยอย่างมาก โดยเป็นผลกระทบจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินจากหนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียของการเช่าซื้อรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้สรุปสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยปี 2567 พบว่ายังคงชะลอตัว ดังนี้

การผลิตรถยนต์ ที่ผลิตได้ทั้งหมดในเดือนธ.ค.2567 มีทั้งสิ้น 104,878 คัน เทียบช่วงเดียวกันกับปี 2566 ลดลง 17.37% โดยเป็นการลดลงจากการผลิตขายในประเทศ 28.50% ตามยอดขายในประเทศที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลง 9.47% เช่นกัน รวมแล้วมีจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ตลอดทั้งปี 2567 รวม 1,468,997 คัน ลดลงจากปี 2566 ที่ 19.95% แยกเป็น 2 ส่วน คือ

1.การผลิตเพื่อส่งออก เดือนธ.ค.2567 ผลิต 67,203 คัน เท่ากับ 64.08% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนธ.ค.2566 ที่ 9.47% ขณะที่ยอดทั้งปีผลิตเพื่อส่งออกที่ 1,009,141 คัน เท่ากับ 68.70% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ระยะเวลาเดียวกัน 12.07%

 

2.การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนธ.ค.2567 ผลิตได้ 37,675 คัน เท่ากับ 35.92% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนธ.ค.2566 ที่ 28.50% และทั้งปี 2567 ผลิตได้ 459,856 คัน เท่ากับ 31.30% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2566 ที่ 33.09%

ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ เดือนธ.ค.2567 รวม 54,016 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 27.67% แต่ลดลงจากเดือนธ.ค.2566 ที่ 20.94% จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินจากหนี้ครัวเรือนสูง หนี้เสียรถยนต์ยังเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดย ทำให้แรงงานมีอำนาจซื้อลดลง ขณะที่ยอดขายทั้งปี 2567 ที่ 572,675 คัน ลดลงจากปี 2566 ที่ 26.18%

ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนธ.ค.2567 ส่งออกได้ 76,346 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 14.84% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.2566 ที่ 15.46% โดยลดลงจากฐานสูงในปี 2566 และการระมัดระวังในการใช้จ่ายจากความไม่แน่นอนในความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลก 

รวมทั้งการแข่งขันจากการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน และรถยนต์ใช้น้ำมันจากหลายประเทศรวมทั้งพื้นที่ในเรือไม่เพียงพอ และจำนวนเที่ยวเรือลดลง รวมไปถึงมาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้

ทั้งปี 2567 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 1,019,213 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกัน 8.80%

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.เปิดเผยว่า จากประมาณการการผลิตรถยนต์ปี 2568 ประมาณ 1,500,000 คัน มากกว่าปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 1,468,997 คัน เพิ่มขึ้น 2.11% หรือเพิ่มขึ้น 30,003 คัน แบ่งเป็น 

1.การผลิตเพื่อการส่งออกปี 2568 ประมาณ 1 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วน 66.66% ของยอดการผลิตทั้งหมด และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 5 แสนคัน เท่ากับ 33.34% ของยอดการผลิตทั้งหมด

สำหรับปัจจัยบวกมาจากปัจจัยระยะสั้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐไม่สูงมากนักอาจจะไม่กระทบมูลค่าการค้าโลกมาก ยังที่กังวลกันซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

รวมถึงอัตราดอกเบี้ยอาจลดลง และราคาน้ำมันอาจลดลงทำให้อำนาจซื้อของประเทศคู่ค้าสูงขึ้นส่งผลให้การส่งออกดีขึ้น ต้องติดตามว่าลดลงมากน้อยแค่ไหน และต้องติดตามสงครามในภูมิภาคต่างๆ ว่ายุติได้หรือไม่ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจใช้เงินของประชาชนในประเทศต่างๆ

ในขณะที่ปัจจัยลบมาจากความชัดเจนในมาตรการด้านการค้า และอื่น ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าอีกมากน้อยแค่ไหน รวมถึงคู่แข่งในประเทศคู่ค้ามีมากขึ้น และประเทศคู่ค้ามีการผลิตรถกระบะซึ่งอาจลดคำสั่งซื้อ และอาจส่งออกแทนประเทศไทยจากการผลิตรถกระบะลดลง 

นอกจากนี้ความขัดแย้ง และการสู้รบในภูมิภาคต่างๆ อาจขยายเพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาคเดิม และภูมิภาคใหม่ และมาตรการเข้มงวดการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้

2.การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศปี 2568 เป็น 5 แสนคัน เพิ่มขึ้น 8.73% จากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 459,856 คัน มาจาก การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่ประเมินว่าจะขยายตัวที่ 2.4-2.9% และคาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 

รวมทั้งการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรรวมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มขยายตัวเพิ่มขึ้น และการแจกเงินของรัฐบาลให้กลุ่มต่างๆ ในขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจ e-Receipt และการลงทุนของภาครัฐจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

นอกจากนี้ในปี 2567 มีผู้ขอรับส่งเสริมการลงทุนในประเทศสูงถึง 1.12 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในรอบสิบปี เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2566 โดยยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ 102,366 ล้านบาท และจะมีการลดดอกเบี้ยในประเทศซึ่งจะทำให้ต้นทุนและภาระการชำระหนี้ลดลงช่วยเพิ่มอำนาจซื้อในประเทศ 

ส่วนประเด็นราคาน้ำมันอาจลดลงจากการเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งจะทำให้ภาระค่าใช้จ่าย และต้นทุนการดำเนินงานลดลง อำนาจซื้อของประชาชนมากขึ้น

ทั้งนี้ยังคงปัจจัยลบที่ต้องจับตาคือ ความเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพราะมาตรการ การปล่อยสินเชื่อแบบรับผิดชอบจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงต้องติดตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะยังคงลดลงหรือไม่เพราะมีสัดส่วนถึง 30% ของเศรษฐกิจในประเทศ และมีแรงงานถึง 16% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจซื้อในประเทศ

นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอาจจะไม่รุนแรงซึ่งจะทำให้การย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนมายังประเทศไทยชะลอตัวลงได้เพราะประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาซึ่งจะส่งผลกระทบการจ้างงานในประเทศไทย 

ขณะที่สถานการณ์หนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงอาจจะส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และค่าครองชีพยังทรงตัวในระดับสูงซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจซื้อของประชาชน

สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท Battery Electric Vehicle (BEV) ในเดือนธ.ค.2567 จดทะเบียนใหม่ 7,146 คัน ลดลงจากเดือนธ.ค.2566 ที่ 36.12% ส่วนยอดทั้งปี 2567 มียอดจดทะเบียนใหม่สะสม 96,804 คัน ลดลงจากปี 2566 ที่ 3.21% ขณะที่ยอดจดทะเบียนสะสม ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 รวมทั้งสิ้น 227,470 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 72.52%
 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์