หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

ฝุ่น PM 2.5 ตัวการใหญ่ที่สร้างมลพิษทางอากาศ และเป็นอันตรายต่อมนุษย์ แหล่งผลิต PM2.5 มีหลากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในนั้นคือ การเผาวัสดุการเกษตร

KEY

POINTS

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ได้ออก มาตรการ  ห้ามเผาในพื้นที่การเกษตร”  เกษตรกรที่ฝ่าฝืน จะยกเว้น

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ได้ออกประกาศกระทรวงฯ เรื่อง มาตรการบริหารการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ขึ้น  เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 โดยสาระสำคัญกำหนด

• “การเผาในพื้นที่การเกษตร” หมายความว่า การเผาที่เกิดจากการกระทำของเกษตรกร หรือใช้หรือก่อให้ผู้อื่นเผาในพื้นที่การเกษตรของตน หรือพื้นที่การเกษตรที่เกษตรกรมีสิทธิครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2568 ถึง 31 พฤษภาคม 2568

• “โครงการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพเกษตรกร” หมายความว่า มาตรการ โครงการ กิจกรรม หรือการดำเนินงานอื่นใดที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือหน่วยงานในสังกัดจัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหรือส่งเสริมการพัฒนาด้านการเกษตร และช่วยเหลือเกษตรกรทุกโครงการ ยกเว้นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

ด้านนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ยังได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานในระดับภูมิภาค เร่งสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงโทษของการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว ด้วย

ทั้งนี้ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร  เป็นหน่วยงานหลักในการเร่งปฏิบัติการบรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้วยการใช้เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ำและโปรยน้ำแข็งแห้ง เพื่อเป็นการเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองต่อไปได้ โดยแผนปฏิบัติการของกรมฝนหลวงฯ จะทำการบินทุกวันในช่วงเช้าตั้งแต่ 10.00 น. และช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 14.00 น. ใช้เวลาบินประมาณ 20 ถึง 30 นาที

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำการบินในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ที่จะบูรณาการร่วมกับ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ในการกำหนดชั้นความสูงและกำหนดพื้นที่ในกรุงเทพชั้นในเพื่อทำปฏิบัติการลดฝุ่น ซึ่งบางจุดต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการบินของเครื่องบินเชิงพาณิชย์ชั่วคราว เพื่อให้การปฏิบัติการฝนหลวงได้อย่างปลอดภัย

โดยพื้นที่กรุงเทพชั้นในจะจำกัดระดับความสูงไม่เกิน 3,000 ฟุต และหากจะทำการบินในพื้นที่ดังกล่าวได้จะต้องมีการประสานงานล่วงหน้า เพื่อให้เครื่องบินจากสนามบินมีการเปลี่ยนเส้นทางบินชั่วคราว ประมาณ 10 ถึง 20 นาที หลังจากนั้นจึงจะสามารถใช้เส้นทางบินได้ตามปกติ จำเป็นที่ต้องร่วมกับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในเขตกรุงเทพชั้นในอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับ ผลการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ข้อมูล ณ 22 ม.ค. 68) พบว่า ภายหลังปฏิบัติการฝนหลวง ค่าความเข้มข้นฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) มีแนวโน้มลดลง ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และจากการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษมากที่สุด พบว่าอันดับของกรุงเทพฯ จากเดิมที่มีค่าคุณภาพอากาศ (AQI) เท่ากับ 168 (อันดับที่ 14) เปลี่ยนเป็นค่าคุณภาพอากาศ (AQI) เท่ากับ134 (อันดับที่ 21) แสดงให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีค่ามลพิษทางอากาศลดลง เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มคุณภาพอากาศภาพรวมในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะดีขึ้นตามลำดับก็ตาม แต่ยังต้องขอความร่วมมือจากประชาชนและเกษตรกร ร่วมกันลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะและฝุ่นละอองในอากาศ รวมทั้ง ลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ได้ออกประกาศกรมประมง เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ภาคการเกษตร ด้านการประมง พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 21 มกราคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์ไม่ให้การสนับสนุนเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่มีประวัติทำการเผาในพื้นที่การเกษตร ในการได้รับการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรด้านการประมง

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ทุกโครงการ หากตรวจพบว่าเกษตรกรหรือคณะกรรมการกลุ่มเกษตรกรที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการใดๆ ทางด้านการประมง แต่มีประวัติการเผาในพื้นที่การเกษตรให้ถือว่า “ขาดคุณสมบัติ” และจะไม่ได้รับสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ ด้านการประมงทุกโครงการ นับตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2570

นอกจากนี้ กรมประมงยังมีแนวทางในการที่จะใช้กิจกรรมในภาคการประมงมาช่วยลดการสร้างมลพิษทางอากาศด้วย โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการจัดการวัสดุทางการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำและลดหมอกควัน หรือ “โครงการฟางมาปลาโต” มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรนำฟางข้าว ที่เหลือจากการทำนามาเป็นวัตถุดิบในการสร้างอาหารสัตว์น้ำธรรมชาติ ลดมลพิษจากการเผาในพื้นที่การเกษตร เกษตรกรมีองค์ความรู้ในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในระยะยาวทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 

ซึ่งโครงการนี้ ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2567 ในระยะเวลาการเลี้ยง 1 ปี ใช้ฟางข้าว ประมาณ 800 กิโลกรัม/ไร่/ปี สามารถลดคาร์บอนได้กว่า 42.31 กิโลกรัมคาร์บอน และลดปริมาณฝุ่นละอองได้ประมาณ 6,280 กิโลกรัม โดยในปี 2568 กรมประมงขยายผลการดำเนินโครงการ เพิ่ม ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พะเยา นครพนม และกาฬสินธุ์ มีการจัดฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และทักษะการสร้างอาหารธรรมชาติในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำจากวัสดุการเกษตร 

สนับสนุนลูกพันธุ์ปลากินพืชให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ รายละ 3,000 ตัว และสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกรเพื่อใช้ในการเตรียมบ่อและสร้างอาหารธรรมชาติ พร้อมทั้งจัดทีมนักวิชาการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด 

ซึ่งหลังจากจบโครงการฯ คาดว่าจะสามารถกำจัดวัสดุทางการเกษตรเหลือใช้ได้มากกว่า 56,000 กิโลกรัม ลดการเกิดฝุ่นละอองได้ไม่น้อยกว่า 4,000 กิโลกรัม และมีปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำไม่น้อยกว่า 28,700 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,296,000 บาท และในอนาคตกรมประมงมีแผนขยายผลไปยังเกษตรกรอีก 4,200 ราย ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายเกษตรกรที่มีการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรอย่างถูกวิธี และสามารถลดต้นทุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

พร้อมกันนี้ ในปี 2568 ได้ขยายผลสู่แหล่งน้ำชุมชน โดยดำเนิน “โครงการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำชุมชนเพื่อเพิ่มรายได้และลดค่าครองชีพของประชาชน” โดยการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจ 7 ชนิด ได้แก่ กุ้งก้ามกราม ปลาเกล็ดเงิน ปลายี่สกเทศ ปลาตะเพียน ปลาบ้า ปลานิล และปลาบึก ลงในแหล่งน้ำปิดของชุมชนเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำปิด ขนาด 10 – 60 ไร่ ของชุมชนทั่วประเทศ จำนวน 1,500 แห่ง และจะใช้ฟางข้าวเป็นอาหารสัตว์น้ำ โดยกำหนดแผนการใช้ฟางข้าวไว้ แหล่งน้ำละไม่น้อยกว่า 1 จุด จุดละ 500 กิโลกรัม อย่างน้อย 2 ครั้ง/แหล่งน้ำ 

ดังนั้น โครงการดังกล่าวใช้ฟางข้าวไม่น้อยกว่า 1,500,000 กิโลกรัม (1,500 ตัน) เพื่อสร้างอาหารธรรมชาติในแหล่งน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำจืดในแหล่งน้ำชุมชนได้มากกว่า 6,000 ตัน มูลค่ามากกว่า 450 ล้านบาท

กรมประมง มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวข้างต้นจะสามารถช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ได้อย่างจริงจัง และช่วยส่งเสริมเพิ่มรายได้ลดค่าครองชีพให้กับเกษตรกรและประชาชน ตลอดจนเพิ่มจำนวนประชากรสัตว์น้ำประจำถิ่นรุ่นใหม่ในธรรมชาติและสัตว์น้ำที่ไม่สามารถหาพื้นที่ที่เหมาะสมตามธรรมชาติในช่วงฤดูผสมพันธุ์และวางไข่ได้ ช่วยฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำในแหล่งน้ำให้คืนความอุดมสมบูรณ์ ด้วยการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงโดยชุมชนเพื่อชุมชน

นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า กรมพัฒนาที่ดินรณรงค์การไถกลบตอซังร่วมกับการใช้น้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากนวัตกรรมจุลินทรีย์ พด.2 และรณรงค์การผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากเศษวัสดุทางการเกษตรโดยใช้นวัตกรรมจุลินทรีย์ พด.1 เพื่อช่วยให้ดินดีคงความอุดมสมบูรณ์ ไม่ถูกทำลาย และยังช่วยบำรุงดินให้มีอินทรียวัตถุเพิ่มขึ้น เกิดความสมดุลของระบบนิเวศดินแล้ว ยังส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการเผาลดลง รวมถึงช่วยลดปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM 2.5 ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวให้มีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดผลกระทบต่อการเกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย”

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

กรมพัฒนาที่ดิน เตรียมจัดงาน “Kick off ไถกลบตอซัง สร้างดินยั่งยืน ฟื้นสิ่งแวดล้อม” ณ บ้านเตาไห หมู่ 6 ตำบลทุ่งรวงทอง อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ 71 จังหวัดที่มีความเสี่ยงต่อการเผา (Hot Spot) ทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร ทำการเกษตรโดยไม่เผา หันมาไถกลบตอซังเป็นปุ๋ยปรับปรุงบำรุงดิน และสาธิตวิธีการไถกลบตอซังที่ถูกต้องและเหมาะสมให้แก่เกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติใช้ในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดหมอกควัน ฝุ่นละออง PM 2.5 ภาวะโลกร้อน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากการเผาตอซังพืช ตามเป้าหมายของประเทศที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2608” 

นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้กำหนดมาตรการดำเนินงานภายใต้การรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 เพื่อเป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการจัดการทั้งในระดับพื้นที่และในระดับการส่งเสริมการเกษตรเพื่อช่วยลดการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ดังนี้

1) มาตรการสร้างความตระหนักรู้และป้องปราม จัดทำฐานข้อมูล โดยรวบรวมข้อมูลพื้นที่การเพาะปลูกพืชที่เสี่ยงต่อการเผา (ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย) และข้อมูลเกษตรกรในแต่ละจังหวัดเพื่อวางแผนการบริหารจัดการพื้นที่ที่เสี่ยงการเผา และใช้เทคโนโลยีโดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและจุดความร้อนเพื่อติดตามและประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเผาไหม้ พร้อมประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น

2) มาตรการบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพิ่มมูลค่าเศษวัสดุ โดยการนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ เช่น การทำปุ๋ยชีวภาพ การทำเชื้อเพลิงชีวมวล หรือการแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า พร้อมสนับสนุนการแปรรูปเศษวัสดุ โดยจัดเตรียมข้อมูลและความร่วมมือกับโรงงานแปรรูปวัสดุเหลือใช้เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำเศษวัสดุมาขายหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

3) มาตรการปรับลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียนหรือพืชมูลค่าสูง ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการปลูกพืชจากพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด ข้าว อ้อย มาเป็นพืชหมุนเวียนหรือพืชมูลค่าสูง เช่น ถั่ว หรือพืชผักเพื่อให้การจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทำได้ง่ายขึ้น

4) มาตรการไม่เผาเรารับซื้อ สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเลิกเผา โดยการให้สิทธิประโยชน์แก่เกษตรกรที่ไม่เผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ด้วยการสนับสนุนการรับซื้อผลผลิตหรือการจัดการเศษวัสดุในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

5) มาตรการไฟจำเป็น ควบคุมและบริหารจัดการการเผา ในการขออนุญาตเผาตามความจำเป็น ตามข้อกำหนดและมาตรการของแต่ละจังหวัด เช่น การกำจัดศัตรูพืช หรือการจัดการวัสดุทางการเกษตรก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว โดยมีการใช้ระบบ “Burn Check” หรือช่องทางกระบวนการอื่นๆ ตามมาตรการของจังหวัดนั้นๆ เพื่อให้เกษตรกรสามารถขออนุญาตการเผาอย่างถูกต้อง

และ 6) การประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ ใช้สื่อชุมชนสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรเกี่ยวกับผลกระทบจากการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และส่งเสริมการจัดการเศษวัสดุอย่างถูกวิธี เช่น การทำปุ๋ยชีวภาพจากเศษวัสดุ

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้สั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานเกษตรพื้นที่กรุงเทพมหานคร จัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ที่ทำการเพราะปลูกรายชนิดของพืชเกษตรที่เสี่ยงต่อการเผา ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อยโรงงาน พร้อมข้อมูลเกษตรกรแยกรายจังหวัด เพื่อนำไปสู่การวางแผนการบริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรการบริการจัดการพื้นที่เกษตรที่เสี่ยงการเผาไหม้ เพื่อจัดทำระบบปฏิบัติการบริหารจัดการเชื้อเพลิงและแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงรายจังหวัด อำเภอ และตำบล ตามรายชื่อเกษตรกรและจำนวนพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนในแต่ละจังหวัด

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถลดจุด Hotspot จากการเผาในพื้นที่เกษตรรายพืชปี 2568 ได้แก่ ข้าว ลดลง 30% ข้าวโพด ลดลง 10% และอ้อย ลดลง 15%

ส่วนการลดจุด Hotspot รายภาค ได้แก่ภาคเหนือ(17 จังหวัด) ลดลง 30% จาก 4,550 จุด เหลือ 3,185 จุด

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลง 20% จาก 9,928 จุด เหลือ 7,942 จุด ภาคตะวันตก ลดลง 15% จาก 1,608 จุด เหลือ 1,367 จุด

จุดภาคกลางลดลง 10% จาก 2,032 จุด เหลือ 1,829 จุด ภาคตะวันออก ลดลง 10% จาก 2,052 จุด เหลือ 1,847 จุด

ภาคใต้ลดลง 10% จาก 1,017 จุด เหลือ 915 จุด

โดยเกษตรกรนำเศษวัสดุเหลือใช้ไปใช้ประโยชน์ เช่น การทำปุ๋ยหรือการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า และเป็นการส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียนและพืชมูลค่าสูงในพื้นที่เกษตรกรรม สร้างรายได้ให้เกษตรกรนำไปสู่การไม่เผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ลดมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5 ได้อย่างยั่งยืน เกษตรกรสามารถขอคำแนะนำการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรอย่างถูกต้องได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอและสำนักงานเกษตรจังหวัดใกล้บ้าน

ด้านนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า  ได้สั่การไปยังสำนักงานสหกรณ์จังหวัด ที่มีพื้นที่ Hotspot ให้กำชับกวดขัน “นิคมสหกรณ์” ในพื้นที่รับผิดชอบให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ไม่ให้มีการเผาในเขตพื้นที่นิคมสหกรณ์โดยเด็ดขาด

หน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ขานรับ มาตรการห้ามเผา ฝ่าฝืนหมดสิทธิ์ร่วมโครงการรัฐ

หากตรวจสอบพบว่ามีเกษตรกรสมาชิกที่ฝ่าฝืนเผาในเขตพื้นที่นิคมสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะดำเนินการชะลอการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมสหกรณ์ (กสน.3) และชะลอการได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (กสน.5)ซึ่งเป็นเอกสารที่สามารถนำไปขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ รวมทั้งจะไม่ได้รับการสนับสนุนแผนงาน/โครงการ/เงินอุดหนุนของรัฐบาล ในฐานะสมาชิกนิคมสหกรณ์ และจากสหกรณ์ที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ด้วย