ราคาทองคำลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง

ราคาทองคำลดลงหลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะที่การขู่ขึ้นภาษีล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ทำให้บรรดานักลงทุนกังวล
รอยเตอร์สรายงานภาวะตลาดทองคำโลกวันพุธ( 19 ก.พ. ) ว่า ราคาทองคำในตลาดสปอต (Spot Gold) ลดลง 0.2% สู่ระดับ 2,928.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 14.19 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ (19.19 น. GMT) ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,946.85 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงการซื้อขายก่อนหน้าของวัน ราคาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐ (Gold Futures) ลดลง 0.4% สู่ระดับ 2,936.10 ดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์ (DXY) เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น
“เรากำลังอยู่ในสภาวะของความไม่แน่นอนที่สูงผิดปกติ... สาเหตุหลักคือภาษีและการเจรจาการค้าหรือคำขู่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำ” พอล หว่อง นักกลยุทธ์ตลาดจาก Sprott Asset Management กล่าว
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคาร (18 ก.พ.) ว่าเขามีแผนที่จะเรียกเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ ชิปเซมิคอนดักเตอร์และยารักษาโรค ที่อัตรา“ประมาณ 25%”
เมื่อต้นเดือนนี้ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีเพิ่มเติมอีก 10% สำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีน และภาษี 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ
ทองคำแท่งถือเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเงินเฟ้อ แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้ทองคำแท่งไม่น่าดึงดูดใจในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
เจ้าหน้าที่ของเฟดยังคงไม่มั่นใจว่าภาษีศุลกากรจะส่งผลต่อเงินเฟ้อมากน้อยแค่ไหน
ตามข้อมูลของบริษัทตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน(LSEG) ชี้ว่า ปัจจุบัน ผู้ค้าคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25 % และมีโอกาส 44% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในเดือนธันวาคม
หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐแสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากคาดว่า บริษัทต่างๆ จะปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนจากภาษีนำเข้า บันทึกการประชุมของเฟดเมื่อเดือนมกราคมระบุ
ในบรรดาโลหะมีค่าอื่นๆ เงินที่ใช้ในการผลิตส่วนประกอบไฟฟ้า ลดลง 0.4% เหลือ 32.74 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยตั้งเป้าที่จะท้าทายระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี
แพลตตินัม ลดลง 1.7% เหลือ 970.45 ดอลลาร์ และแพลเลเดียม ลดลง 1.6% เหลือ 971.47 ดอลลาร์
“แม้ว่าการขึ้นภาษีศุลกากรอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้โลหะเงินในภาคอุตสาหกรรม แต่ราคาก็ยังอาจสูงขึ้นเมื่อพิจารณาจากราคาปัจจุบัน” นายฮัน ตัน หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของ Exinity Group กล่าว






