ราคาส่งออกข้าวร่วงหนักฉุดข้าวเปลือกเจ้า25%หลุด8พันบาท

ช่วงเดือนก.พ.นี้ เป็นช่วงที่การผลิต สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)ประเมินว่า จะมีผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาด ประมาณ 0.679 ล้านตันข้าวเปลือก
หรือคิดเป็น8.63% ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมี.ค. - เม.ย. 2568 ปริมาณรวม 5.33 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 67.73% ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
สำหรับการผลิตข้าวนาปรังปี 2568 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพ.ย. 2567 มีเนื้อที่เพาะปลูก 12.005 ล้านไร่ เพิ่มขึ้น 18.57% ผลผลิต 7.864 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น 19.88% และผลผลิตต่อไร่ 655 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1.08% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยเนื้อที่เพาะปลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่เริ่มขึ้นในช่วงเดือนก.ค. ถึง ก.ย. 2567 และคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ไปจนถึงต้นปี 2568 จะทำให้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ รวมถึงน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติเมื่อต้นฤดูกาลเพาะปลูกมีปริมาณมากกว่าปีที่แล้ว จูงใจให้เกษตรบางส่วนขยายเนื้อที่เพาะปลูกในที่นาที่เคยปล่อยว่าง เพื่อปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีน้ำเพียงพอต่อต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว
หลังความร้อนแรงของการส่งออกข้าวเมื่อปี 2567 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การส่งออกข้าวเดือนม.ค.-ธ.ค. 2567 มีปริมาณ 9,945,323 ตัน มูลค่า225,655.57 ล้านบาท หรือ 6,433.86 ล้านดอลลาร์ โดยปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น 13.4% และมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 26.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566 ที่มีการส่งออกปริมาณ 8,769,044 ตัน มูลค่า 178,234.8 ล้านบาท หรือ 5,147.34 ล้านดอลลาร์
ด้านสถานการณ์ตลาดข้าวพบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ราคาส่งออกข้าวไทย (เอฟโอบี) ลดลงอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัยซึ่งราคาส่งออกข้าวจะสะท้อนกลับไปสู่ราคาข้าวเปลือกซึ่งเป็นแหล่งรายได้โดยตรงของชาวนา
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ราคาข้าวไทยลดลงไปรวมๆแล้วเกือบ 200 ดอลลาร์ สาเหตุมาจากอินเดียกลับมาส่งออกซึ่งสถานการณ์ขณะนี้เป็นการขีดเส้นที่ชัดเจนว่าสิ้นสุดยุคทองการส่งออกข้าวแล้ว เนื่องจากอุปทานจากอินเดีย 6 ล้านตัน (ข้าวขาว) ที่เคยหายไปจากตลาดเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ได้กลับเข้าสู่ตลาดแล้ว
“ราคาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ก็คือราคาที่เคยเป็นมาแล้วเมื่อ 1-2 ปีก่อน ซึ่งเป็นภาวะตลาดที่เป็นปกติที่ต้องกลับเข้าสู่การแข่งขัน แต่ยอมรับว่าเป็นการแข่งขันที่ค่อยข้างรุนแรงเพราะ อินเดียมีผลผลิตที่ดีในรอบ10 ปี และอินเดียยังมีสต๊อกเต็ม จึงพร้อมมากสำหรับการส่งออกข้าวในปีนี้ ”
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ท้าทายการส่งออกข้าวไทยอีกประการคือ เวียดนาม และไทยเองก็มีผลผลิตที่ีดีจากปริมาณน้ำที่ดีในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตลาดข้าวโลกหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเผชิญปัญหาอุปทานล้นตลาด ซึ่งต้องมีการแข่งขันด้านราคาในที่สุดซึ่งสะท้อนมาที่ราคาส่งออกข้าวของไทยในปัจจุบัน
ร.ต.ท.เจริญ กล่าวอีกว่า อีกปัจจัยที่ท้าทายการส่งออกข้าวปัจจุบันนี้คือ ค่าเงินบาท ซึ่งผันผวนค่อนข้างมาก จากสัปดาห์ก่อน เฉลี่ยที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ แต่ปัจจุบันเฉลี่ยที่ 33 บาท ซึ่งทุกๆการแข็งค่าจะสะท้อนราคาส่งออกรวม 10 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งมีผลต่อการกำหนดราคากับผู้ซื้อและกำไรหรือขาดทุนด้วย
สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวเปลือก ปัจจุบันเฉลี่ย ที่ 8,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งการดูแลราคาข้าวในประเทศต้องไม่ให้กระทบกับราคาขายในตลาดเพราะปัจจุบันราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งหลายสิบดอลลาร์ ซึ่งหากราคาไม่เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมจะยิ่งสะท้อนกลับมาสู่ขีดความสามารถการแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลกที่ยากมากขึ้น
รายงานจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึง ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิ ชนิดพิเศษ (67/68) ณ วันที่ 22ม.ค. 2568 ตันละ 998 ดอลลาร์ ต่อมาในวันที่ 5 ก.พ. ลงมาอยู่ที่ตันละ 989 ข้าวสาร 5%ตันละ 469ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 453 ดอลลาร์
รายงานจากสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยถึง ราคาข้าวเปลือกเจ้า (อยุธยา) ณ วันที่ 10 ก.พ. 2568 ความชื้น 15% ตันละ 8,600-9,000 บาท ความชื้น 25% ตันละ 7,400-7,800 บาท โดยราคาลดลง ณ วันที่ 17 ก.พ. 2568 ความชื้น 15% 8,400-8,800 บาท ความชื้น 25% ตันละ 7,200-7,600 บาท
สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2567/68มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จำนวน 3 โครงการ ดังนี้
1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 โดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก(ข้าวหอมมะลิ)
2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2567/68 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1.50 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย 1% ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกร 3.50% ต่อปี
3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2567/68 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต๊อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ระยะเวลารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 31 มี.ค.2568 (ภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2568) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3%
1.2.2 โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการเพิ่มระดับผลิตภาพของสินค้าข้าว โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 4.61 ล้านครัวเรือน รัฐจะจ่ายเงินสนับสนุนแก่เกษตรกรในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินงบประมาณ 38,578.22 ล้านบาท
1.2.3 โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2567 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่เกษตรกร โดยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติและโรคระบาด ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน 21 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม 2,302.16 ล้านบาท
สถานการณ์ตลาดข้าวกำลังเป็นความท้าทายของรัฐบาลที่จะประคับประคองให้ภาพรวมตลาดไม่ส่งผลต่อเงินในกระเป๋าชาวนาซึ่งเป็นอีกหน่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญโดยมีโจทย์ความช่วยเหลือที่ต้องไม่แทรกแซงจนตลาดปั่นป่วนเพิ่มขึ้นไปอีก