ปตท.ยันไม่ทิ้ง ‘ธุรกิจปิโตรเคมี’ เร่งหาพาร์ตเนอร์เสริมแกร่ง

"คงกระพัน อินทรแจ้ง" ปตท.ยืนยันไม่ควบรวม 3 บริษัทลูกกลุ่มปิโตรเคมี แม้เผชิญปัญหาธุรกิจช่วงขาลง เดินหน้าเจรจาพันธมิตรต่างชาติร่วมทุนเสริมแกร่ง
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2567 ต้องยอมรับว่ากลุ่มธุรกิจปิโตรเคมียังคงอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากปัญหาอุปสงค์ที่ลดลง และอุปทานที่มีมากเกินความต้องการในธุรกิจปิโตรเลียม และปิโตรเคมี
แต่อย่างไรก็ดีบริษัทยืนยันว่าจะไม่มีการเลิก หรือควบรวมธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นของทั้ง 3 บริษัท คือ PTTGC, TOP และ IRPC ซึ่งปัจจุบัน ปตท. มีการถือหุ้นอยู่ในแต่ละบริษัทอยู่ที่ประมาณ 45% เพื่อรวมเป็นบริษัทเดียวกัน แต่จะใช้กลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งผ่านการหาพันธมิตรที่จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทเหล่านี้โดยเฟ้นหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมีตลาดและมีความแข็งแกร่งเพื่อเสริมสร้างธุรกิจปิโตรเคมีเหล่านี้ให้เติบโตยั่งยืนมากขึ้น
“ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการเจรจาหาพันธมิตร ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มต่างชาติ เพราะมีเงินทุนจำนวนมากพอในการลงทุนธุรกิจ แต่ปตท.จะยังคงเน้นหาพันธมิตรที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทลูก และปตท. จะยังคงเป็นบริษัทแม่ที่ถือหุ้นในสัดส่วนสูงสุดเพื่อเป็นการบริหารธุรกิจให้ต่อเนื่อง”
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 ปตท.จะมุ่งสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก โดยยังคงเน้นสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กร ลดความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพให้กับธุรกิจ พร้อมทั้งพิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดระวัง เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้ผลตอบแทนสูง คุ้มค่าต่อการลงทุน
ทั้งนี้ ปตท.มีแผนลงทุนระยะ 5 ปี (2568 - 2572) ภายใต้กรอบการลงทุนระดับ 55,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินลงทุนปีนี้จำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ขยายโรงแยกก๊าซ ขยายธุรกิจท่อก๊าซ ธุรกิจค้าขายระหว่างประเทศ และเน้นธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นต้น รองลงมา คือ ขยายกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้ง โดยในปีนี้ยังไม่มีแผนการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจใหม่ๆ
นายคงกระพัน กล่าวด้วยว่า ยอมรับว่างบการลงทุนของ ปตท.ในช่วง 5 ปีนี้ลดลง หากเทียบกับช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัท จะเน้นการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้หรือการต่อยอดธุรกิจเดิมที่อาจใช้เงินไม่ได้มาก แต่ได้ผลตอบแทนกลับมาแน่นอน พร้อมมองว่าการวางงบลงทุนจำนวนมากๆ ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดการทำกำไรจำนวนมาก
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจของ ปตท.ขณะนี้วางไว้ 3 ระยะ แบ่งเป็น ระยะสั้น เน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจที่ไม่ใช่คาร์บอน และการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ในประเทศเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในกลุ่มธุรกิจ ตั้งเป้าลดต้นทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ประมาณ 3,300 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปี การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ ตั้งเป้าลดต้นทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ภายใน 2 ปี
ส่วนระยะกลาง จะเน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจก๊าซปิโตรเลียม และการกลั่น ผ่านการจัดหาพันธมิตรมาร่วมธุรกิจ ซึ่งธุรกิจส่วนนี้แม้ว่าจะอยู่ในช่วงขาลงแต่ ปตท.มองโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมองว่ายังคงเป็นธุรกิจที่ต้องดำเนินต่อเพื่อความมั่นคง รวมทั้ง ปตท.ยังมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางก๊าซธรรมชาติเหลวของภูมิภาค (LNG Hub) และแผนธุรกิจในระยะยาว จะเน้นลงทุนระบบการจัดการและกักเก็บคาร์บอน
“ปตท.ตั้งเป้ามีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ซึ่ง ปตท.บริษัทแม่ตั้งเป้าหมายทำได้ 10,000 ล้านบาท ที่เหลือ 20,000 ล้านบาท เป็นเป้าหมายบริษัทในเครือทั้งหมดรวมกัน โดยมองว่าแนวโน้มธุรกิจปีนี้ ด้านธุรกิจสำรวจและผลิต (Upstream) คาดว่าวอลุ่มจะเพิ่มขึ้น และรักษาต้นทุนในระดับเท่าเดิม ส่วนธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย (Downstream) คาดว่าจะทรงๆ ตัว แต่ในแง่มาร์จินอาจปรับตัวดีขึ้น”
นายคงกระพัน กล่าวว่า ในปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้ 3,090,453 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 6.6% และมีส่วนช่วยภาครัฐในการบริหารจัดการต้นทุนในช่วงที่ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นจากสภาวะปกติเพื่อลดผลกระทบให้แก่ประชาชน
ขณะที่ผลบวกต่อภาพรวมธุรกิจในปีที่ผ่านมา พบว่าธุรกิจ Hydrocarbon and Power เป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลตอบแทนให้กับ ปตท. ประกอบด้วย การลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิต ผ่านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชม) หรือ ปตท.สผ. โดยสามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จากอ่าวไทยสู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเข้าซื้อหุ้น 10% ในโครงการสัมปทานกาชา (Ghasha Concession Project) หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ขณะเดียวกันธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มีปริมาณการนำเข้า LNG ทั้งสัญญาระยะยาว และสัญญาแบบตลาดจร (Spot) รวม 9.6 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการพลังงานในประเทศ ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย สร้างมูลค่าเพิ่ม 110 ล้านดอลลาร์ จากความร่วมมือภายในกลุ่ม และโรงกลั่นได้ปรับการผลิตน้ำมันดีเซลให้ได้มาตรฐานยูโร 5 เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ
ส่วนธุรกิจไฟฟ้า มีกำลังการผลิตเพิ่มเติม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งหมด 15 กิกะวัตต์ โดยหลักมาจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon ได้ทบทวนกลยุทธ์ เน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่ม ปตท. โดยยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เน้นการขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าร่วมกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR) ที่มีความพร้อมของด้านโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับธุรกิจผลิตยาและสุขภาพ (Life Science) เป็นธุรกิจที่ดี แต่ต้องขับเคลื่อนได้ด้วยธุรกิจเอง self-funding มีผู้เชี่ยวชาญ ปีที่ผ่านมารับรู้รายได้จากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท Alvogen Malta (Out-icensing) Holding Ltd. มูลค่า 4,500 ล้านบาท ของบริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ (Logistics) ออกจากธุรกิจไม่สอดคล้องกับ ปตท. มุ่งเน้น ที่สามารถต่อยอด และมีการทำงานร่วมกันภายในกลุ่ม ปตท.
นอกจากนี้ ปตท. มีกลยุทธ์สร้างการเติบโตควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (NET ZERO) ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ C1 การปรับพอร์ตธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน C2 การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด C3
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์