'เวิลด์แบงก์' ชี้ ‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ หนุน GDP ไทยโตแค่ 0.3%

'เวิลด์แบงก์' ชี้  ‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ หนุน GDP ไทยโตแค่  0.3%

'เวิลด์แบงก์' ชี้ ‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ หนุน GDP ไทยโต แค่ 0.3% กดดัน 'การคลัง' มีต้นทุนสูงถึง 145,000 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68 ขยายตัว 2.9% พร้อมชี้ 3 ความท้าทายทางการคลัง

 “ธนาคารโลก” เผยแพร่รายงานติดตามเศรษฐกิจไทย กุมภาพันธ์ 2568 ได้ประเมินเบื้องต้นว่ามาตรการ “เงินอุดหนุน 10,000 บาท” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตรอบแรกสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14 ล้านคน หรือประมาณ 42% ของประชากรในกลุ่มรายได้ต่ำสุด อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP ในปีพ.ศ. 2567 ได้ประมาณ 0.3% โดยอิงจากตัวคูณทางการคลังที่ 0.4 

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวนี้มาพร้อมกับต้นทุนทางการคลังที่สูงถึง 145,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.8% ของ GDP

จากข้อมูลรายงาน GDP ล่าสุดชี้ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปีพ.ศ. 2567 เติบโตขึ้น  3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

แนวโน้ม ‘เศรษฐกิจไทย’ ปี 68

ธนาคารโลกได้คาดการณืว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.6% ในปีพ.ศ. 2567 เป็น 2.9% ในปีพ.ศ. 2568  ทั้งนี้การฟื้นตัวยังคงช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดย 2 ปัจจัยสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ คือ การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน  

 

การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ คาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในกลางปี 2568 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน จาก 35.3 ล้านคนในปี 2567

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในปีพ.ศ. 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าปัจจัยภายนอกจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อย

สำหรับปีพ.ศ. 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 0.4% ในช่วงปีที่ผ่านมาเป็น 0.8% แต่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและราคาอาหารคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามรายได้ครัวเรือนที่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งเสริมการบริโภคและการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ในทางตรงกันข้าม ราคาพลังงานคาดว่าจะปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันโลกที่อ่อนตัวลดลง

3 ความท้าทาย ‘การคลัง’

นโยบายการคลังของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสามประการหลัก ได้แก่ 1.การตอบสนองต่อความต้องการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ 2.การฟื้นฟูการลงทุนเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ 3.การรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน

ธนาคารโลกคาดว่าระดับหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นเป็น 64.8% ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และมีแนวโน้มเข้าใกล้เพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ของ GDP ภายในอีกห้าปีข้างหน้า แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะของประเทศไทยจะยังคงมีความยั่งยืนทางการคลัง โดยมีหนี้สกุลเงินต่างประเทศในระดับต่ำ ( 1.0% ของหนี้ทั้งหมด) และมีต้นทุนการระดมทุนที่ค่อนข้างต่ำ แต่แรงกดดันในการใช้จ่ายทางสังคมและการลงทุนของภาครัฐในทุนมนุษย์เพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ และมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพื่อการเติบโต เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ได้เพิ่มแรงกดดันทาง “การคลัง”

 หนี้ครัวเรือน ‘จุดอ่อน’ ระบบการเงินไทย

ระบบการเงินของไทยยังคงมีความมั่นคง แต่การปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้นเนื่องจากความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2567 ระดับหนี้ครัวเรือนลดลงเหลือร้อยละ 90.7 ของ GDP จากจุดสูงสุดที่ร้อยละ 95.8 ของ GDP เมื่อสองปีก่อน แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลง แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบการเงิน เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อผู้บริโภคที่ไม่มีหลักประกันในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังคงอยู่ในระดับต่ำ คือร้อยละ 2.9 ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567