'คลัง' แจงเกณฑ์แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ปัดแบ่งกลุ่ม 16-20 ปี ได้เงินก่อน

'คลัง' แจงเกณฑ์แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ปัดแบ่งกลุ่ม 16-20 ปี ได้เงินก่อน

"เผ่าภูมิ" ระบุเกณฑ์แจกดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ยังอยู่ระหว่างการหารือ ย้ำเเงื่อนไขให้ใช้จ่ายในประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจ เตรียมประชุมบอร์ดชุดใหญ่ ต้นเดือนมี.ค.นี้

โครงการเติมเงิน 10,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ "ดิจิทัลวอลเล็ต" กำลังดำเนินเข้าสู่การแจกเงิน เฟส 3 ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2568 สำหรับกลุ่มที่มีการลงทะเบียนสำเร็จบนแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" ที่เปิดให้ลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย.2567 ซึ่งคาดว่าจะยังมีคนอีกจำนวนราว 20 กว่าล้านคน ที่ยังไม่ได้รับเงินหมื่นในโครงการก่อนหน้า

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รายละเอียดการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 จะมีการหารือกันในการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือน มี.ค.นี้ 

ส่วนกรณีกระแสข่าวที่จะมีการแบ่งกลุ่มอายุผู้ที่จะได้รับเงิน โดยกลุ่มแรกที่ได้เป็นกลุ่มอายุ 16-20 ปี นั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงในขณะนี้คือ ในการประชุมคณะอนุกรรมการที่ผ่านมายังไม่มีการพิจารณาในเรื่องนี้แต่อย่างใด และยังไม่มีข้อสรุปว่าจะมีรูปแบบการดำเนินโครงการในเฟสที่ 3 นี้อย่างไร และช่วงเวลาใด ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ที่ผ่านการคัดกรองตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วย ซึ่งตอนนี้เรายังมีตัวเลขของผู้ที่ลงทะเบียนเท่านั้น

ขณะที่ หลายหน่วยงานเศรษฐกิจ ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และภาคเอกชน ได้มีการแสดงความคิดเห็นต่อการดำเนินโครงการแจกเงินในมุมมองที่เหมือนและต่างกัน โดยหน้าที่ของรัฐบาลได้รับฟังความคิดเห็นเหล่านี้และประมวลผล ส่วนจะเชื่อหรือไม่ หรือเห็นว่าวิธีไหนดีก็ต้องประมวลกัน
 

ทั้งนี้ ในประเด็นที่เสนอให้มีการใช้จ่ายดิจิทัลวอลเล็ตกับสินค้าที่ผลิตในประเทศ (Local Content) นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวมีการพิจารณามาตั้งแต่แรกที่จะกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในเศรษฐกิจชุมชน ไม่ให้ไปตกที่สินค้าบางอย่างที่เป็นการนำเข้าทั้งหมด

เอกชนจี้มาตรการต้องแม่นยำ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า มาตรการที่จะออกมาเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อควรจะต้องมีความแม่นยำและเจาะจงไปเลยว่ากำหนดให้ซื้ออะไรได้บ้าง ทั้งนี้ ส.อ.ท.มีข้อเสนอให้มีการเจาะจงไปที่การซื้อสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย (Local Contents) เพราะปัจจุบันมีสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาจำนวนมากและส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยหลายภาคส่วน 

ตั้งแต่ปี 2565 มี 10 อุตสาหกรรมในประเทศที่ได้รับผลกระทบ และเพิ่มมากขึ้นในปี 2566 เป็น 22 อุตสาหกรรม ปี 2567 เป็น 25 อุตสาหกรรม และในปี 2568 หากยังปล่อยให้เป็นแบบเดิมก็อาจส่งผลกระทบถึง 30 อุตสาหกรรม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน

ทั้งนี้ ภาครัฐจะต้องเตรียมมาตรการป้องกันที่เข้มข้น สำหรับสินค้านำเข้าที่ต้นทุนถูกและไม่ได้มาตรฐานซึ่งจะทะลักเข้ามามากขึ้น ในช่วงที่สหรัฐมีการขึ้นกำแพงภาษี  

“เมื่อเราทราบปัญหานี้แล้วก็ควรเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้มีสัดส่วนการซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Made in Thailand เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นมาตรการที่สามารถทำได้ทันที”

ปัจจุบันสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างสินค้า Made in Thailand คิดเป็น 15% หรือราว 1.02 แสนล้าน ซึ่งหากสามารถเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ได้ ก็จะมีเงินหลายแสนล้านที่หมุนอยู่ในระบบและสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย

นายเกรียงไกร กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาลเป็นเรื่องที่ดี แต่มาตรการต้องมีความแม่นยำและชัดเจนว่าต้องทำอะไร เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจตามที่ตั้งใจไว้

“การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำ ซึ่งรัฐบาลควรต้องทบทวนการดำเนินโครงการแจกเงิน 10,000 บาท 2 ครั้งที่ผ่านมา ว่าพบจุดอ่อนตรงไหนและนำมาปรับให้เฟสที่ 3 มีความแม่นยำยิ่งขึ้น”

ในมุมมองของส.อ.ท.ภาพใหญ่ที่รัฐบาลควรเร่งแก้คือ กำลังซื้อที่ตกต่ำ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทำให้เข้าถึงแหล่งเงินไม่ได้ และยังมีต้นทุนแพง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวที่ยังเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจได้ดีก็ควรวางโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม และที่สำคัญต้องทำให้เกิดการกระจายตัว ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่แค่เมืองหลัก 5 จังหวัด