'SPCG' ฟ้องศาลปกครอง คดี กฟภ. ละเมิดเรียกค่าเสียหาย 3.7 พันล้าน

"SPCG" แจ้งหนังสือตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าฟ้องศาลปกครอง ในคดีที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ละเมิดเรียกค่าเสียหาย 3.7 พันล้าน
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กระทำละเมิดบริษัทฯ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 2. ข้อมูลคู่กูรณี: บริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด ที่ 1 บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ที่ 2 ผู้ฟ้องคดี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ถูกฟ้องคดี
3. สรุปสาระสำคัญของคดี: วันที่ 9 สิงหาคม 2562 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือบริษัทในเครือของ กฟภ. เข้ามาทำการศึกษาและ วางแผนผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาด การเชื่อมต่อเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าการจำหน่ายพลังงาน การปรับปรุง บำรุงและรักษาระบบการผลิตและเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าสะอาด ให้สามารถใช้ใน การสนับสนุนการพัฒนากิจกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
ซึ่ง กฟภ. มีบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (บริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ) เป็นบริษัทในเครือแห่งแรกและแห่งเดียว จึงมอบหมายให้บริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ เป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ส่งจำหน่ายเข้าระบบโครงข่ายของ กฟภ. ในเขตพื้นที่อีอีซี แต่เนื่องจากบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ เป็นรัฐวิสาหกิจที่มี กฟภ.เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด จึงมีข้อจำกัดหลายประการโดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ และการจัดหาแหล่งเงินทุนในการดำเนินโครงการ ดังกล่าวซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน จำกัดที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นบริษัทผู้บุกเบิก ธุรกิจผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์รูฟรายแรกของประเทศไทย
จึงได้รับการเชิญชวนให้เข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินโครงการนี้ร่วมกับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และวันที่ 28 สิงหาคม 2562 เกิดการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาโครงข่าย ไฟฟ้าอัจฉริยะ พลังงานอัจฉริยะ และสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก (อีอีซี) ระหว่าง กฟภ. บริษัทฯ และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ จนช่วงปลายปี 2562 มีการร่วมกันก่อตั้งบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด (บริษัท เซท ฯ) ขึ้นมาเพื่อดำเนินโครงการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งวันที่ 30 กันยายน 2562 คณะกรรมการของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และของ กฟภ. ต่างมีมติเห็นชอบ ให้บริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ร่วมทุนในบริษัท เซท ฯ จำนวนร้อยละ 20 ของเงินลงทุนทั้งหมด
และต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2563 ก็ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัท เซทฯ เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 25 โดยกระบวนการคัดเลือกให้บริษัทฯ มาเป็นผู้ร่วมทุนในการดำเนินโครงการนี้เป็นไป ตามระเบียบและหลักเกณฑ์การคัดเลือกเอกชนมาเป็นผู้ร่วมทุนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และ กฟภ. เอง นอกจากนี้ กฟภ.ยังได้เชิญบริษัท เซท ฯ มาทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโดยให้บริษัท เซท ฯ เป็นผู้พัฒนาโครงการจัดหาพลังงานไฟฟ้า พลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) และพลังงานสำรอง (ระบบกักเก็บพลังงาน) ให้แก่พื้นที่ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
โดยในระยะแรก การพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จะมีขนาดไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุน โครงการประมาณ 23,000 ล้านบาท เพื่อรับซื้อและส่งจำหน่ายในพื้นที่อีอีซี และต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 กฟภ. ได้อนุมัติให้จัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ระหว่างบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ กับบริษัท เซทฯ
ภายหลังจากวันที่ กฟภ.ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ในวันถัดไป โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟภ. กับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ระบุว่า กฟภ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า และในข้อ 8 ของสัญญาระบุเรื่องการโอนสิทธิและหน้าที่ ของผู้ผลิตไฟฟ้าว่า ห้ามมิให้ผู้ผลิตไฟฟ้าโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้กับผู้อื่น เว้นแต่ ผู้รับซื้อไฟฟ้า (กฟภ.) อนุญาตให้โอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ ส่วนสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระหว่างบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม ฯ กับระบุว่าบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า และบริษัท เซท ฯ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า
กล่าวคือ การทำสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ให้บริษัท เซทฯ เป็นผู้ผลิต ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ส่งให้แก่ กฟภ.นั่นเอง และต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 กฟภ. ก็มีหนังสือแจ้งบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ว่า กฟภ. เห็นชอบในการโอนสิทธิและหน้าที่ของผู้ผลิตไฟฟ้า ตามสัญญาดังกล่าวจากบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ไปให้บริษัท เซทฯ แล้ว รวมทั้ง กฟภ. ยังเป็นผู้แจ้งความ คืบหน้าในการดำเนินโครงการนี้โดยบริษัท เซทฯ ให้ สกพอ. ทราบมาตลอด และเนื่องจากตามสัญญา ระหว่างบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ กับบริษัท เซทฯ กำหนดให้บริษัท เซทฯ จัดหาที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้ง โครงการและในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการ และมีการกำหนดวัน SSPI หรือวันติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์
ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2569 บริษัท เซทฯ จึงได้เร่งดำเนินการจัดซื้อที่ดินจาก เอกชนเพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่อีอีซี โดยเป็นที่ดินที่สามารถผลิตและจ่ายไฟเข้าระบบโครงข่าย ไฟฟ้าของ กฟภ. ได้ และได้ผ่านการพิจารณาของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และ กฟภ.แล้ว ทั้งยังใช้เงิน ลงทุนเกี่ยวกับการเคลียร์พื้นที่ ปรับถมดิน ล้อมรั้ว และยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษา ด้านต่างๆ เช่น ด้านการเงิน การเงินอิสระ กฎหมาย เทคนิค กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ การโอนกิจการ ตามที่สถาบันการเงินผู้อนุมัติเงินกู้ในการดำเนินโครงการนี้กำหนดรวมทั้งค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าในเขตอีอีซี
และเนื่องจาก ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต และการอนุญาต การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ 2551 กำหนดว่า ผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าต้องมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือสัญญาจะซื้อจะขายไฟฟ้ามาแสดงด้วย แต่เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว กฟภ. ก็ไม่ดำเนินการเกี่ยวกับ การจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟภ. กับบริษัท เซทฯ เสียที วันที่ 7 มีนาคม 2567 บริษัท เซทฯ
จึงมีหนังสือถึงบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ในฐานะคู่สัญญาซื้อขายไฟฟ้าและเป็นบริษัทในเครือของ กฟภ. เพื่อขอให้เร่งรัด กฟภ.ดำเนินกระบวนการให้บริษัท เซทฯ เป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ผลิต ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้บริษัท เซทฯ นำเอาสัญญานี้ไปแสดงต่อหน่วยงานผู้มีอำนาจ ในการพิจารณาออกใบอนุญาตเพื่อดำเนินโครงการต่อไป และในวันเดียวกันมีหนังสือถึง กฟภ. เพื่อขอสงวนสิทธิขยายระยะเวลาดำเนินการตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงาน แสงอาทิตย์ สำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เนื่องจากความล่าช้าดังกล่าว แต่วันที่ 22 เมษายน 2567 กฟภ. กลับมีหนังสือแจ้งบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ และบริษัท เซทฯ ว่า กฟภ. ขอยกเลิกหนังสือแจ้งให้ความยินยอมในการโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เคยให้ไว้
และบริษัท เซทฯ ไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ. ที่จะอ้างหรือใช้สิทธิการขอขยายระยะเวลาตามสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าได้ รวมทั้งมีหนังสือแจ้งไปยัง กพอ.ว่า กฟภ.ขอยกเลิกการให้ความยินยอมในการโอนสิทธิ และหน้าที่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้แก่บริษัท เซทฯ ดังกล่าว รวมทั้งขอยกเลิกการยืนยันพื้นที่ติดตั้ง โครงการและอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อในโครงการตามที่ กฟภ. เคยแจ้งให้ กพอ.ทราบด้วย การกระทำ ดังกล่าวของ กฟภ. ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงความร่วมมือและพันธกิจในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงาน แสงอาทิตย์ สำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ได้กระทำร่วมกันมาระหว่าง กฟภ. และบริษัท พีอีเอ เอนคอมฯ กับบริษัทฯ
และเป็นเหตุให้บริษัท เซทฯ อยู่ในสภาพถูกแช่แข็งให้ตาย ทั้งเป็น เพราะไม่สามารถดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกต่อไปได้ รวมทั้งไม่สามารถประกอบกิจการอื่นได้เนื่องจากบริษัท เซทฯ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับบริษัท พีอีเอ เอนคอมฯ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ให้แก่ กฟภ. ในโครงการนี้เท่านั้น ดังนั้นบริษัท เซทฯ และบริษัทฯ ซึ่งเป็นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท เซทฯ ที่ได้ใช้เงินลงทุนไปจำนวนมากเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการนี้ จึงได้รับความเสียหาย อย่างร้ายแรงจากการกระทำละเมิดของ กฟภ.ดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ บริษัท เซทฯ และบริษัทฯ จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจาก กฟภ. ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีนี้ เพื่อขอให้ศาล ปกครองกลางได้พิจารณาพิพากษาให้ กฟภ. ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัททั้งสอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,709,300,451.24 บาท
4. การดำเนินการ: ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง รอศาลปกครองมีคำสั่งรับคำฟ้องหรือมีคำสั่งใดๆ ต่อไป 5. ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น: หากศาลพิพากษาให้ชนะคดีคาดว่าจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจาก กฟภ. ไม่น้อยกว่า 2,000,000,000 บาท 6. การแจ้งความคืบหน้าต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ: หากศาลปกครองกลางมีคำสั่งรับคำฟ้องหรือมีคำสั่งใด จะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ