'สศค.' รายงานเศรษฐกิจการคลัง ม.ค.68 จับตาการผลิตอุตฯ และนโยบายประเทศคู่ค้า

สศค. รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนม.ค. 2568 ติดตามสถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรม และนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างใกล้ชิด ชี้ยังรับปัจจัยบวกจากการส่งออก ท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนม.ค. 2568 ว่า ภาครัฐยังต้องติดตามสถานการณ์ของการผลิตภาคอุตสาหกรรม และนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนม.ค. 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -14.8% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -4.3%
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนมกราคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -2.4% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 1.5%
อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนม.ค. 2568 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 ภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว
โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนม.ค. 2568 อยู่ที่ 1.32% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ะ 0.83% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธ.ค. 2567 อยู่ที่ 63.9% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนม.ค. 2568 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 242.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนม.ค. 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 2.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 9.5% สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนม.ค. 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 3.4%
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนม.ค. 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 59.0 จากระดับ 57.9 ในเดือนก่อน เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนมกราคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -16.3% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 15.4%
ขณะที่ มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ 13.6% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ 11.4% ตามการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 45.0% เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 33.2% และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 28.1%
นอกจากนี้ ยางพารา ขยายตัว 45.5%ผลไม้กระป๋องและแปรรูป13.4% อาหารสัตว์เลี้ยง 13.0% และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป 11.8%
อย่างไรก็ดี การส่งออกข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดอินเดีย 129.8% สหรัฐฯ 22.4% และจีน 13.2% ขณะที่ตลาดทวีปออสเตรเลีย ลดลง -26.9% และตะวันออกกลาง -2.1%
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนมกราคม 2568 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 3.70 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 22.2% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 6.2%
โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนม.ค. 2568 จำนวน 24.3 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 3.6% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 1.1%
ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนมกราคม 2568 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 3.8% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 0.8% ตามการเพิ่มขึ้นในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าว และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลผลิตมันสำปะหลัง และข้าวโพด ลดลงจากเดือนก่อน
สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนม.ค. 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 91.6 จากระดับ 90.1 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกขยายตัวจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
ชณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการผลิตและบริการ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลก (Global Composite PMI) ในเดือนม.ค. 2568 อยู่ที่ระดับ 51.8 จุด ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 52.6 จุด
โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ในเดือนม.ค. 2568 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50.1 จุด จากระดับ 49.6 จุดในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผลผลิตและยอดคำสั่งซื้อใหม่กลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า ถึงแม้ว่าราคาปัจจัยการผลิตจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม
ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคบริการ (Global Service PMI) ในเดือนม.ค. 2568 อยู่ที่ระดับ 52.2 จุด ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.8 และสูงกว่าระดับ 50.0 จุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 24 บ่งชี้ว่าภาคบริการยังคงขยายตัว
นอกจากนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อในหลายประเทศที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารกลาง ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในหลายประเทศ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป สำหรับสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง