2,370 แผน! ไทยกำลังวางแผนเกินไปหรือไม่?

ผมทราบดีว่าประเทศไทยมีแผนพัฒนารายประเด็น หรือแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยงานรัฐค่อนข้างมาก แต่ก็เพิ่งรู้มาไม่นานมานี้ว่า ภาครัฐไทยมีแผนที่เรียกกันในวงการว่า “แผนระดับ 3” อยู่ถึงประมาณ 2,370 แผน! ทั้งที่จะว่าไปแล้ว ประเทศไทยมีหน่วยงานระดับกระทรวงเพียง 20 กระทรวงเท่านั้น หรือระดับกรมก็น่าจะหลัก 200-300 หน่วยงาน จำนวนแผนที่ว่านี้คือแผนที่แต่ละหน่วยงานทำขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาฯ ระดับชาติ (ที่เรียกกันว่าแผนระดับ 1 และ 2)
แผนเหล่านี้ถูกบันทึกและติดตามผ่านระบบ eMENSCR ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางของรัฐบาลไทย ที่ใช้เชื่อมโยงแผนงานทั้งหมดเข้าด้วยกัน ข้อมูล ณ สิงหาคม 2567 พบว่า แผนระดับ 3 ที่ได้รับการอนุมัติและบันทึกลงระบบนี้มีถึงประมาณ 2,374 แผน ในปัจจุบันน่าจะมีจำนวนแผนเพิ่มขึ้นไปอีก โดยแผนเหล่านี้ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ การศึกษา สาธารณสุข หรือสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น มีแผนที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประมาณ 184 แผน หรือคิดเป็นประมาณ 7.8% ของแผนทั้งหมด
แผนแต่ละแผนคงมีวัตถุประสงค์และเจตนาที่ดีในการขับเคลื่อนงานพัฒนาบางอย่าง แต่แทนที่การมีแผนจำนวนมากจะทำให้การพัฒนาประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น มันกลับกำลังสร้างปัญหาใหม่ให้ระบบราชการไทย เพราะจำนวนแผนที่ล้นเกินนี้ ไม่ได้แปลว่าเราวางแผนเก่ง แต่กลายเป็นว่าระบบเต็มไปด้วยแผนที่ทับซ้อนกัน ขาดการจัดลำดับความสำคัญ และไม่ได้บูรณาการกันจริงเท่าที่ควร และสุดท้าย ข้าราชการเองก็รับภาระงานเพิ่มขึ้นจากการต้องไล่ตามแผนสารพัด โดยไม่มีใครสามารถเข้าใจภาพรวมได้จริง
ข้าราชการหลายคนที่ผมมีโอกาสพูดคุยด้วย ก็ยอมรับว่า พวกเขาเองยังสับสนกับแผนที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานตัวเอง เพราะนอกจากแผนของกระทรวงและกรมแล้ว ยังต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับแผนของกระทรวงอื่นๆ หรือแผนที่ข้ามหน่วยงานระดับกรมอีกเป็นจำนวนมาก ระบบที่ควรจะช่วยให้การขับเคลื่อนแผนมีประสิทธิภาพ กลับได้สร้างภาระที่เกินจำเป็น แถมยังทำให้การบูรณาการข้ามหน่วยงานทำได้ยากยิ่งขึ้น
หลังจากที่เราทดลองการใช้แผนยุทธศาสตร์จำนวนมากมาถึงจุดนี้แล้ว โดยตัวชี้วัดหลายตัวไม่ได้คืบหน้าเท่าที่ควร ประชาชนในสังคมก็มักไม่รู้สึกว่าประเทศไทยกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนั้น ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูประบบการบริหารแผนทั้งระบบอีกสักครั้ง เพราะการมีแผนมาก ไม่ได้หมายถึงการมีทิศทางที่ดีเสมอไป แต่ถ้าเรามีแผนที่ชัดเจน มีน้อยแต่เน้นคุณภาพ และเชื่อมโยงถึงกันได้จริง นั่นต่างหากที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้แบบมีประสิทธิภาพ
บทเรียนจากต่างประเทศมีให้เห็น แต่เราไม่จำเป็นต้องลอกใคร สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทย มาเลเซียก็เคยมีปัญหาเรื่องแผนกระจัดกระจายคล้ายๆ กัน แต่เขาเลือกตั้งหน่วยงานกลางที่ชื่อ PEMANDU ขึ้นมาเป็นตัวกลางในการคัดเลือกเป้าหมายสำคัญของประเทศ แล้วแปลงเป้าหมายเหล่านั้นเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้ ภายใต้กระบวนการทำงานที่ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาสังคม ได้ร่วมคิดร่วมทำตั้งแต่ต้น
โดยแตกเป้าหมายใหญ่ออกมาเป็น Roadmap ที่มีตัวชี้วัดชัดเจน พร้อมระบบติดตามผลแบบเข้มข้น เน้นผลลัพธ์มากกว่าการสร้างเอกสารสวยหรู และเป็นแนวคิดที่ควรลองเดินตาม โดยเฉพาะการคัดเลือก Flagship Programs หรือโครงการยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนประเทศ
แต่แค่มีแผนที่ดีตอนเริ่มต้นยังไม่พอ เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนเร็วเกินกว่าจะยึดติดกับแผนเดิมได้ตลอด สิงคโปร์จึงตั้ง Centre for Strategic Futures ขึ้นมา ทำหน้าที่สแกนอนาคต ใช้เครื่องมืออย่าง Scenario Planning และ Horizon Scanning เพื่อตรวจจับสัญญาณความเปลี่ยนแปลง และแจ้งเตือนให้หน่วยงานรัฐปรับแผนได้ทันท่วงที ถ้าไทยมีกลไกแบบนี้ เราจะไม่ต้องรอจนวิกฤติมาเคาะประตูถึงค่อยวิ่งแก้ไข แต่จะพร้อมรับมือก่อนปัญหาจะเกิด
อีกหนึ่งจุดอ่อนสำคัญของระบบแผนไทย คือการประเมินผลที่ไม่เชื่อมโยงกับแรงจูงใจใดๆ เลย ทำให้แผนหลายแผนกลายเป็นพิธีกรรมเอกสารมากกว่าที่จะเป็นเครื่องมือพัฒนาจริง ในเกาหลีใต้ ระบบประเมินผลเชื่อมโยงตรงกับงบประมาณและการบริหารบุคคล ถ้าหน่วยงานไหนทำไม่ถึงเป้าหมาย งบปีถัดไปอาจถูกตัด ผู้บริหารอาจไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ในทางกลับกัน ถ้าทำได้ดี ก็ได้รับรางวัลและการยกย่องเชิงสาธารณะ ระบบแบบนี้สร้างวัฒนธรรมที่เน้น “รับผิดชอบต่อผลลัพธ์” ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยควรสร้างให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
เหนือสิ่งอื่นใด การลดจำนวนแผนที่กระจัดกระจาย และจัดกลุ่มแผนให้เป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน เชื่อมโยงกับงบประมาณ ข้อมูลสถิติ และระบบอื่นๆ ผ่าน eMENSCR ซึ่งควรยกระดับเป็นศูนย์กลางข้อมูลที่โปร่งใส เปิดให้ภาคเอกชนและประชาชนติดตามความคืบหน้าได้แบบเรียลไทม์ เพื่อจะไม่ใช่แค่เป็นเครื่องมือของข้าราชการ แต่จะกลายเป็นเวทีให้ทุกภาคส่วนร่วมตรวจสอบและเสนอแนะได้ตลอดเวลา
ผมคิดว่าประเทศหนึ่งๆ สามารถมีแผนที่ดีได้โดยไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก แต่ต้องมีเป้าหมายชัดเจนและสามารถขับเคลื่อนได้จริง หากประเทศไทยสามารถลดแผนที่ซ้ำซ้อน มุ่งเน้นโครงการสำคัญ และเชื่อมโยงงบประมาณกับผลลัพธ์ เราจะมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อความท้าทายของโลกยุคใหม่ แผนที่ดีไม่ใช่แค่เอกสาร แต่ควรเป็นเครื่องมือที่ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าและประชาชนสามารถสัมผัสความก้าวหน้านั้นได้อย่างแท้จริง