หอการค้ากระทุ้งรัฐตั้ง “ทีมพิเศษ” สู้ศึกเทรดวอร์ก่อนเส้นตาย เม.ย.

หอการค้ากระทุ้งรัฐตั้ง “ทีมพิเศษ” สู้ศึกเทรดวอร์ก่อนเส้นตาย เม.ย.

หอการค้าไทย จี้รัฐ “ตั้งทีมพิเศษ” ร่วมภาครัฐ เอกชน ก่อน 2 เม.ย.68 มีนายกฯ เป็นประธาน วางแผนเชิงรุก รับมือทรัมป์ 2.0 หนุนนำเข้าสินค้าเกษตร - อาหารจากสหรัฐ ประเมินทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าไทย ทั่วโลก ทำไทยเสียหาย 1-1.5 แสนล้านบาท กดจีดีพีลง 0.5-0.7% ฉุดเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าเป้า 3.5%

นโยบายขึ้นภาษีการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่พุ่งเป้าประเทศเกินดุลการค้าสหรัฐทำให้เกิดข้อกังวลต่อภาคเอกชน เพราะไทยเกินดุลการค้าสหรัฐเพิ่มขึ้น 

ก่อนหน้านี้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กกร.) เสนอให้รัฐบาลเร่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐ และเอกชนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ แต่ท่าทีภาครัฐยังไม่ตอบรับข้อเรียกร้องนี้

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เอกชนกังวลมากจึงขอให้รัฐบาลตั้งทีมพิเศษรับมือนโยบายการค้าของสหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มทำให้หลายประเทศต้องหันมาพึ่งตลาดใหม่โดยเฉพาะอาเซียน และไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอาหาร

ทั้งนี้ ภาครัฐต้องดำเนินมาตรการควบคุม และกวดขันการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพหรือสินค้าราคาถูกจนส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งภาครัฐควรตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าอย่างละเอียด โดยสินค้าบางประเภทต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือหลบเลี่ยงภาษี

ส่วนสินค้าที่ทะลักเข้ามาแล้วใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการตรวจสอบการใช้ราคาต่ำผิดปกติเพื่อทำลายการแข่งขัน รวมถึงการป้องกันการทุ่มตลาด และการออกกฎหมายหรือมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และทบทวนกฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

หอการค้ากระทุ้งรัฐตั้ง “ทีมพิเศษ” สู้ศึกเทรดวอร์ก่อนเส้นตาย เม.ย.

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยเป็นห่วงต่อภาพรวม และการที่ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐ และไทยควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหารและพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควตาภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐให้มีจุดยืนที่เป็นธรรม และเข้มแข็ง

รวมทั้งรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลเสียดุลการค้าภาคบริการ เช่น บริการดิจิทัล ค่าบริหารจัดการ ลิขสิทธิ์ ภาคธนาคาร ภาคประกันภัย การศึกษา ค่าแฟรนไชส์ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าตัวเลขการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียว

แนะเร่งตั้งทีมพิเศษนายกฯ เป็นประธาน 

รวมทั้งหอการค้าไทยขอให้รัฐบาลจัดตั้ง “ทีมพิเศษ” (Special Team) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานจะทำให้มีอำนาจสั่งการกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงแรงงาน 

ทั้งนี้ ควรทำงานร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาเชิงรุกกับสหรัฐ การทำงานต้องครอบคลุมการป้องกันมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการใช้โอกาสจาก มาตรการภาษีของทรัมป์ ซึ่งถือเป็นนโยบายกาลักน้ำ (Zero Sum Game) ที่ประเทศหนึ่งได้ อีกประเทศหนึ่งต้องเสีย 

ดังนั้น ไทยต้องวางกลยุทธ์ให้เป็นฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อ GDP ไทย 0.5-1.0%

หนุนเพิ่มโควตานำเข้าข้าวโพด-เนื้อสัตว์

นายพจน์ กล่าวว่า การลดแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร และอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐ ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรอง โดยสินค้าหมวดสินค้าเกษตรกรรม และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร พบว่าไทยเกินดุลสหรัฐเพียง 2,665 ล้านดอลลาร์ หรือ 7.5% จึงควรเปิดโควตาสินค้าที่ยังขาดแคลน และการนำเข้าไม่กระทบผู้ค้า และเกษตรกรไทย ดังนี้

1.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง ซึ่งไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นการเปิดโควตานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยว

2.เนื้อวัวและเศษเนื้อเครื่องในวัว จะช่วยให้ไทยมีทางเลือกด้านซัพพลายที่มากขึ้น 

3.สินค้าอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่าจากเรือชักธงสหรัฐเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปในประเทศ

4.สินค้ากลุ่มพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ

ชี้ขึ้นภาษี 3 ประเทศกระทบไทยทางอ้อม

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การตั้งทีมพิเศษต้องเร่งทำเพราะเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีความเสี่ยงสูงที่จะโตต่ำกว่า 3% และโตต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ที่ 3.5% 

สำหรับการที่สหรัฐขึ้นกำแพงภาษีกับแคนาดา เม็กซิโก และจีน จะกระทบทางอ้อมต่อไทยมูลค่าความเสียหาย 20,000-25,000 ล้านบาท ส่งผลให้จีดีพีไทยลดลง 0.1-0.5% และการขึ้นกำแพงภาษีรถยนต์จะกระทบไทยมูลค่า 60,000-65,000 ล้านบาท กระทบจีดีพีลดลง 0.35-0.40% จะทำให้จีดีพีไทยโตเพียง 2.6-2.8% ในปีนี้ 

ส่วนกรณีสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจากไทยและทั่วโลก ประเมินผลกระทบขั้นต่ำไว้ที่มูลค่า 100,000-150,000 ล้านบาท จีดีพีลดลง 0.5-0.7% และทำเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 3.5% จะเหลือเพียง 2.3-2.5%

สำหรับดุลการค้าไทย-สหรัฐ ปี 2566 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีมูลค่าการส่งออก 67,659 ล้านดอลลาร์ ไทยได้เกินดุลการค้าสหรัฐ 29,045 ล้านดอลลาร์ 

ขณะที่ปี 2567 ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าไทยยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ประมาณ 45,600 ล้านดอลลาร์ ทำให้ขยับจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐในลำดับที่ 12 มาเป็นลำดับที่ 11 อาจสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐในเรื่องความไม่สมดุลทางการค้า 

โดยที่นโยบายการค้าของทรัมป์มุ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐกับประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากไทย และเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งหากไทยไม่สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์