นายกฯ อวดผลงานโรดโชว์ต่างประเทศ ดูดลงทุน 1.13 ล้านล้าน

นายกฯ อวดผลงานโรดโชว์ต่างประเทศ ดูดลงทุน 1.13 ล้านล้าน

“นายกฯ“ อวดผลงานรัฐบาล 6 เดือนแรกเดินสายพบนักลงทุนต่างประเทศ ดูดเม็ดเงินลงทุนปี 67 กว่า 1.13 ล้านล้านบาท เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรับลงทุนใหม่

วันที่ 12 มี.ค. 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานเผยแพร่ยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ในหัวข้อ “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดร. นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย นายชัย วัชรงค์ ผู้แทนการค้าไทย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วม ณ ห้องคริสตัล ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานเผยแพร่ยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ในหัวข้อ “Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า สถานการณ์การลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบันมีความท้าทายเป็นอย่างมาก การลงทุนใหม่เป็นเรื่องที่ท้าทาย ทุกคนที่อยู่ในวงการธุรกิจ ทั้งภาครัฐและเอกชนทราบดีว่าการหาช่องทางให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา 

“ในฐานะผู้นำรัฐบาล ต้องพยายามเปลี่ยนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกให้เป็นโอกาสของประเทศให้ได้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการสร้างความเชื่อมั่น ความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรและศักยภาพของบุคลากร และทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นว่าการลงทุนในประเทศไทยมีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า” นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัจจุบันรัฐบาลกำลังผลักดันโครงการหลายโครงการ เช่น รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อภาคใต้เข้าสู่ศูนย์กลางทางการค้าและบริการ การอนุมัติการลงทุนในรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีม่วงใต้เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ ชั้นนอกกับชั้นใน และรถไฟความเร็วสูงในภาคอีสานระยะที่สอง เพื่อเชื่อมการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยในระดับภูมิภาค 

ซึ่งการสร้างเส้นทางเชื่อมต่อเหล่านี้ จะเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เริ่มโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และขยายการใช้บริการของท่าอากาศยานทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค 

นอกจากนี้ โครงการที่สำคัญคือ โครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ซึ่งจะเชื่อมต่อทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค โครงการนี้ได้รับความสนใจจากผู้นำของประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก หากโครงการนี้สำเร็จจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมากมายให้กับประเทศไทย ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การค้า และการสร้างงาน  

ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และอากาศยานของภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการค้าและการลงทุนของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและธุรกิจแห่งอนาคต เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) รัฐบาลออกนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทย 

ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร โดยการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาในสาขาเทคโนโลยีดิจิทัล และดึงดูดบุคลากรจากทั่วโลกเข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย พร้อมทั้งวางแผนที่จะผลิตบุคลากรด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นมากกว่า 80,000 คน 

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนให้ง่ายและน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและสร้างระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว

โดยล่าสุด ประเทศไทยได้สร้างสถิติใหม่ในการส่งเสริมการลงทุน มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ได้ทำงานอย่างหนักในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ  

“การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน หากเราร่วมมือกันสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดี เราจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว