‘TDRI’ มองเศรษฐกิจยุคทรัมป์ 2.0 ฉุดน้ำมันโลกดิ่ง – ค่าบาทผันผวน

‘TDRI’ มองเศรษฐกิจยุคทรัมป์ 2.0 ฉุดน้ำมันโลกดิ่ง – ค่าบาทผันผวน คาดน้ำมันโลกลดลงเฉลี่ย 6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน 33 - 35 บาท/ดอลลาร์
KEY
POINTS
- ทีดีอาร์ไอมีมุมมองว่าราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงจากนโยบาย "Drill Baby Drill" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมั
ความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และสหรัฐฯกับประเทศต่างๆส่งผลต่อบรรยากาศการค้าโลกและมีส่วนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการผลิตชะลอตัวลง รวมถึงนโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯก็ส่งผลต่อระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ขณะที่ค่าเงินบาทในปีนี้มีทิศทางอ่อนค่า และมีความผันผวนตามทิศทางการเคลื่อนย้ายของเงินทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
จากข้อมูลของสำนักงานพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ราคาว่าน้ำมันในตลาดโลกปีนี้มีแนวโน้มลดลงโดยว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ จะลดลงเหลือ 72 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยมีราคาเฉลี่ย 74.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตลอดปี 2568 ลดลงจากระดับเฉลี่ย 80.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2567 ที่ผ่านมา
ดร.กิริฏา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่านโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีจุดยืนในการไม่เชื่อในปัญหาโลกร้อน และมีนโยบายสนับสนุนการขุดเจาะพลังงานน้ำมัน ภายใต้นโยบาย "drill baby drill" ที่มีการประกาศตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งทำให้ซัพพลายน้ำมันจะเพิ่มขึ้น
โดยเบื้องต้นราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีนี่จะลดลงประมาณ 6 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในปีนี้ ขณะที่สต็อกน้ำมันสหรัฐฯเองก็มีการปรับเพิ่มขึ้นไปแล้วกว่า 4% และเมื่อกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC+) เพิ่มกำลังการผลิตในเดือนเมษายน 2025 รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตของสหรัฐฯ อีก 3 ล้านบาร์เรล/วันราคาน้ำมันในตลาดโลกก็จะปรับลดลงอีก
ขณะที่ความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นยังคงให้น้ำหนักไปในเรื่องของความขัดแย้งในตะวันออกกลางซึ่งเป็นแหล่งผลิตและส่งออกน้ำมันที่สำคัญของโลก
ดร.กิริฏา ระบุว่าราคาน้ำมันที่ลดลงถือว่าจะมีผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม โดยเศรษฐกิจไทยจะได้ประโยชน์ในฐานะผู้นำเข้าน้ำมัน ราคาน้ำมันที่ลดลงจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศไม่เพิ่มสูงมากนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะตามมาในแง่ของการส่งเสริมอุตสาหกรรมเมื่อระดับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจะส่งผลต่อแรงจูงใจของผู้บริโภคในการใช้รถไฟฟ้า (EV) ที่ลดลง ขณะที่การใช้พลังงานสะอาดก็อาจจะชะลอตัวลงด้วยเนื่องจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีราคาถูก ซึ่งประเทศไทยมีการสนับสนุนการผลิตรถ EV ซึ่งอาจยังเห็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้นแต่อาจเป็นทิศทางที่ช้าลงไม่ได้เร่งตัวเหมือนในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับ ทิศทางค่าเงินบาท ในปี 2568 ทีดีอาร์ไอคาดว่าค่าเงินบาทในปีนี้มีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนตามการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์โดยจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 33-35 บาทต่อดอลลาร์
โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในครึ่งแรกของปี 2568 เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง หากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยดีขึ้น อย่างไรก็ตามมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะอ่อนค่าไปอยู่ในระดับ 34 – 35 บาทต่อดอลลาร์ได้เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง