ทรัมป์ 2.0 ฉุดส่งออกแสนล้าน รัฐบาลตื่นรับมือเส้นตายสหรัฐ 2 เม.ย.68

นายกฯ ยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจรับมือเทรดวอร์ “หอการค้า” ย้ำ ต้องยึดทีมไทยแลนด์เจรจา ม.หอการค้า หวั่น ทรัมป์ขึ้นภาษีรถยนต์ และสินค้าอื่นๆ อาจฉุดส่งออกลดลงเกิน 1 แสนล้านบาท
KEY
POINTS
- นายกรัฐมนตรีได้
วันที่ 2 เม.ย.2568 เป็นกำหนดที่ทั่วโลกจับตาการประกาศรายชื่อประเทศที่จะถูกมาตรการภาษีของสหรัฐ ที่จะใช้ตอบโต้ประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ หลังจากที่ผ่านมาสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าบางส่วนจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ในการรับมือสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2568
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่สหรัฐดำเนินนโยบาย America First Trade Policy ซึ่งไทยเป็น 1 ในประเทศคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว โดยรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจแต่ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ติดตามนโยบายการค้าของสหรัฐตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 และวันที่ 6 ม.ค.2568 ตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐ เพื่อหารือประเด็นดังกล่าวโดยเฉพาะ ซึ่งมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน รวมทั้งมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ มีการอัปเดตสถานการณ์ว่าปัจจุบันสหรัฐมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง โดยตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างไร และมีผลกระทบกับไทยอย่างไร ซึ่งรัฐบาลหารือมาตลอดแต่ยังไม่ลงรายละเอียดถึงแผนการเจรจากับสหรัฐ และไม่สามารถบอกผ่านสื่อได้
นางสาวแพทองธาร ตอบคำถามประเด็นจะเป็นหัวหน้าทีมเจรจากับสหรัฐหรือไม่ ว่า ต้องรอหารือกับภาคเอกชนก่อน แต่อยากให้เป็นทีมที่เคลื่อนไหวได้ง่าย และสามารถเจรจาได้อย่างรวดเร็ว
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้หารือร่วมกับ กกร.เพื่อเตรียมความพร้อม และแผนการดำเนินการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการใช้ศักยภาพด้านสินค้าเกษตรของไทยในการรับมือกับสถานการณ์
“นายกฯ เชื่อมั่นว่าด้วยความรู้ความสามารถของภาคเอกชนทุกท่านสามารถที่จะช่วยรัฐบาลได้อย่างมาก และรัฐบาลพร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนในด้านต่าง ๆ รวมถึงการหาแนวทางรับมือผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า การพบนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เพื่อนำความเห็น ภาคเอกชนเสนอนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ผ่านมานโยบายการค้าของสหรัฐกระทบเศรษฐกิจไทย และที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงเร็วส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจไทย
“ที่ผ่านมากระทบการค้าการลงทุน และค่าเงิน ภาคเอกชนเห็นความท้าทายจึงมุ่งมั่นทำงานกับภาครัฐใกล้ชิด เพื่อปรับตัวให้ทันสถานการณ์ และสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทย เพื่อให้ไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้” นายเกรียงไกร กล่าว
ห่วงเส้นตายประกาศรายชื่อ 2 เม.ย.นี้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้มีการหารือกับรัฐบาลในการเตรียมรับมือทรัมป์ 2.0 โดยรัฐบาลกับเอกชนต้องทำงานร่วมกัน และไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งประเทศอื่นทำงานลักษณะนี้เช่นกัน จึงถือว่าเป็นการทำงานที่เป็นประโยชน์กับประเทศ
สำหรับระยะเวลาการทำงานอาจมีข้อจำกัดเพราะใกล้ถึงเวลาที่สหรัฐจะประกาศรายชื่อประเทศที่ถูกมาตรการทางภาษีเพิ่มเติมใน วันที่ 2 เม.ย.2568 โดยหลายประเทศเผชิญสถานการณ์เดียวกัน เพราะนโยบายทรัมป์เอาแน่นอนไม่ได้ ดังนั้นไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ซึ่งภาครัฐ และเอกชนมีข้อมูลมารวมกันเป็นทีมไทยแลนด์ได้ โดยหากพูดแนวทางเดียวกันการเจรจาจะไม่เสียเปรียบมากเกินไป
ส่วนข้อเสนอภาคเอกชนที่ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการเจรจากับทรัมป์นั้น ภาคเอกชนเห็นความตั้งใจที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานหารือกับเอกชน โดยในขั้นตอนการเจรจานั้นนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานหัวหน้าคณะเจรจาเองหรือไม่นั้น คงระบุไม่ได้แต่ขณะนี้นายกรัฐมนตรีทราบดีเกี่ยวกับเหตุการณ์แล้ว และต้องทำงานเรื่องนี้แบบคล่องตัวต่อไป
นอกจากนี้ ประเด็นการเปิดตลาดสินค้าเพิ่มให้สหรัฐเห็นว่า เพื่อประโยชน์ประเทศก็อาจต้องมีข้อมูลตรงนี้ และการต่อรองที่อยู่ในมือแต่ว่าเรื่องนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ในขณะนี้
“เอกชนมีความพอใจในการทำงานของรัฐบาลในเรื่องการเตรียมรับมือนโยบายทรัมป์ เห็นว่ารัฐบาลทำงานอย่างหนัก โดยภาครัฐ และเอกชนต้องคุยกันในเรื่องนี้เพราะเราต้องมาดูว่าในการเจรจาจะมีอะไรที่แลกเปลี่ยน และไม่ทำให้เราเสียเปรียบมากเกินไป และมีความเป็นมิตรซึ่งกัน และกันระหว่างไทย และสหรัฐ” นายสนั่น กล่าว
หวั่นกระทบส่งออกไทย 1 แสนล้าน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์ฯ ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 โดยสหรัฐขึ้นภาษีไปแล้ว ได้แก่ จีน เม็กซิโก และแคนาดา
ส่วนผลกระทบต่อไทยมีทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2568 ลดลง 56,067 ล้านบาท และมีผลต่อจีดีพีหายไป 0.30%
ทั้งนี้ หากวันที่ 2 เม.ย.2568 สหรัฐประกาศอัตราภาษีสูงกว่าคาดการณ์ และเพิ่มชนิดสินค้าอื่น เช่น กลุ่มรถยนต์ โอกาสที่มูลค่าส่งออกไทยจะลดลงอาจสูงเกิน 1 แสนล้านบาท โดยเศรษฐกิจไทยอาจจะย่อตัวได้มากกว่านี้ แต่ภาพรวมยังประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2568 จะขยายตัว 3% ซึ่งความเป็นไปได้อยู่ในกรอบ 2.8-3.2% ตามที่เคยประเมินไว้
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ภายหลังจากที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษี 3 ประเทศคู่ค้าสำคัญ คือ
1.แคนาดา ถูกสหรัฐขึ้นนำเข้าภาษีสินค้าทั่วไป 25% และสินค้ากลุ่มพลังงาน 10% ซึ่งต้องยอมรับว่าสหรัฐยังพึ่งพิงแคนาดาอยู่ และทางแคนาดาใช้มาตรการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าทุกประเภทกับสหรัฐ 25% ซึ่งประเมินว่าแคนาดาจะส่งออกไปสหรัฐลดลง 68,744 ล้านดอลลาร์ และเมื่อแคนาดาตอบโต้สหรัฐโดยขึ้นภาษี 25% จะทำให้สหรัฐส่งออกไปยังแคนาดาลดลง 76,043 ล้านดอลลาร์
2.เม็กซิโก ถูกสหรัฐขึ้นนำเข้าภาษีสินค้าทั่วไป 25% โดยปัจจุบันเม็กซิโกยังไม่มีมาตรการตอบโต้สหรัฐ ซึ่งประเมินว่าเม็กซิโกที่ถูกขึ้นภาษี 25% จะทำให้เม็กซิโกส่งออกไปสหรัฐลดลง 105,086 ล้านดอลลาร์
3.จีน ถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภท 20% และจีนก็ตอบโต้สหรัฐ โดยการขึ้นภาษีเน้นไปในกลุ่มสินค้าเกษตร 10-15% โดยจากการประเมินกรณีที่สหรัฐขึ้นภาษี 3 ประเทศ โดยเฉพาะจีนถูกสหรัฐขึ้นภาษี 20% อาจทำให้จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐลดลง 102,156 ล้านดอลลาร์ และเมื่อจีนตอบโต้สหรัฐด้วยการขึ้นภาษี 10-15% จะทำให้สหรัฐส่งออกไปจีนลดลง 14,270 ล้านดอลลาร์
ม.หอการค้าคาดฉุดจีพีพี 0.3%
ขณะที่มาตรการที่ทรัมป์ 2.0 ขึ้นภาษีนำเข้า เฉพาะสินค้านั้น เช่น เหล็ก ผลิตภัณฑ์เหล็ก และอะลูมิเนียม 25% ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2568 ส่วนรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ คาดว่าจะขึ้นภาษี 25% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 2 เม.ย.2568 โดยทั้งนี้ยังต้องรอติดตามอย่างชัดเจนอีกครั้ง
สำหรับการขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มดังกล่าวส่งผลให้ไทยส่งออกไปในสหรัฐลดลง จากปกติที่คาดว่าจะส่งออกปีนี้เฉลี่ย 4,727 ล้านดอลลาร์ จะทำให้ไทยส่งออกลดลง 4,077 ล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าที่หายไป 560 ล้านดอลลาร์ หรือ 21,927 ล้านบาท ที่จะกระทบไทยโดยตรง
ส่วนผลกระทบทางอ้อมจะมีผลกรณีไทยส่งออกวัตถุดิบไปยังตลาดที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษี ทั้ง จีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งจะมีผลทำให้มูลค่าการส่งออกไทยไปยังตลาดดังกล่าวลดลง 34,140 ล้านบาท รวมไปถึงโอกาสที่กลุ่มสินค้าที่ประเทศดังกล่าวส่งออกไม่ได้ ก็จะหาตลาดใหม่ทดแทน จะไหลเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ ผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม คาดว่าจะส่งผลต่อจีดีพี ไทยลดลง 0.30% และคาดว่าสินค้าที่จะกระทบมากสุด คือ รถยนต์ และอุปกรณ์ หากเมื่อมีผลบังคับอย่างเป็นทางการ มูลค่าการส่งออกที่ไทยจะหายไป 414 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 13,972 ล้านบาท
“เทรดวอร์”กระทบความเชื่อมั่น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนก.พ.2568 อยู่ที่ระดับ 57.8 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่ ต.ค.2567 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกลดลง แม้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.พลิกกลับมาลดลง คือ ประชาชนไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นหรือมองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐออกมาตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกของปี 2568 ทั้งโครงการโอนเงิน 10,000 บาท , โครงการคุณสู้เราช่วย และโครงการ Easy E-Receipt
ส่วนสงครามการค้าที่หลายประเทศเริ่มมีมาตรการตอบโต้กลับ หลังถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งกระทบ Sentiment ตลาดหุ้นทั่วโลก และส่งสัญญาณไปถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของประชาชน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์