นักวิชาการ มธ.หนุน ‘หวยเกษียณ’ แนะเพิ่มรางวัล ถอนได้เมื่อจำเป็น

นักวิชาการ มธ.หนุน ‘หวยเกษียณ’ แนะเพิ่มรางวัล ถอนได้เมื่อจำเป็น

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เห็นด้วยกับ ‘หวยเกษียณ’ ให้ประชาชนออม แต่ ‘เงินรางวัล’ ยังไม่จูงใจเมื่อเทียบสลากรางวัลอื่น แนะเพิ่มเงินรางวัล ปรับเงื่อนไขถอนเงินได้

จากกรณีที่ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงความคืบหน้าโครงการหวยเกษียณ ที่จะเปิดช่องให้ประชาชนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถซื้อสลากขูดแบบดิจิทัลจากกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้ โดยเน้นย้ำหลักการสำคัญคือเงินทุกบาทจะกลายเป็นเงินออมเกษียณ ซึ่งคาดว่าจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ภายในเดือน มี.ค.นี้

รศ.ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า โครงการหวยเกษียณที่รัฐบาลกำลังดำเนินการถือเป็นเรื่องที่ดีในการจูงใจประชาชนให้เข้ามาเก็บออม ซึ่งโครงการนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับโครงการพันธบัตรลอตเตอรี่ของประเทศอังกฤษ หรือ Premium Bonds

รศ.ดร.อัจฉรา กล่าวว่า คำถามต่อโครงการนี้คือแรงจูงใจในการออมของประชาชนมีมากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบจำนวนเงินรางวัลที่หนึ่งจากสลากต่างๆ ที่มีอยู่เดิม เช่น สลากออมทรัพย์ธนาคารออมสิน (สลากออมสิน) ซึ่งกำหนดรางวัลที่หนึ่งไว้ที่ 10 ล้านบาท ขณะที่รางวัลที่หนึ่งของโครงการหวยเกษียณอยู่ที่ 1 ล้านบาท

นอกจากนี้หวยเกษียณยังไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ จำเป็นต้องรอให้อายุครบกำหนด 60 ปี หรือในผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีแล้ว จะต้องซื้อสลากเกิน 5 ปี ก่อน ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่านำเงินของตนเองไปซื้อสลากออมสิน น่าจะเป็นการดีกว่าหรือไม่

รศ.ดร.อัจฉรา กล่าวอีกว่า รูปแบบและเงื่อนไขที่กำหนดไว้มีความเหมาะสมกับชนชั้นกลางที่มีเงินเย็นมากกว่า และสามารถหักเงินส่วนตัวออกมาได้เดือนละ 3,000 เพื่อนำมาเก็บออม แล้วสามารถรอคอยได้จนถึงอายุ 60 ปีได้ ส่วนประชาชนทั่วไปที่ไม่มีเงินเย็นอาจจะเกิดความกังวลในเรื่องนี้ เพราะไม่อาจคาดเดาชีวิตในวันข้างหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้น บางคนอาจจะป่วยหนักด้วยโรคที่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ฯลฯ

“ส่วนตัวอยากจะเสนอให้มีการสร้างแรงจูงใจด้วยการเพิ่มเงินรางวัลที่มากขึ้น เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเมกะมิลเลียนส์ (Mega Millions) ของสหรัฐฯ ที่เขาจะให้รางวัลใหญ่ และเงินรางวัลก็จะทบไปเรื่อยๆ แล้วผู้รับรางวัลสามารถเลือกได้ว่าอยากรับเป็นเงินก้อน หรือเป็นเงินบำนาญก็ได้ หรือกรณี Premium Bonds ที่สามารถขายเพื่อรับเงินคืนตามหน้าตั๋วที่จ่ายไปได้ตลอดเวลา หากจำเป็นต้องใช้เงิน จึงอยากจะให้มีการปรับวิธีการตรงนี้ ให้สามารถถอนเงินออกมาใช้ในยามจำเป็น” 

รศ.ดร.อัจฉรา กล่าวถึงข้อกังวลเรื่องความยั่งยืนของโครงการว่า หากในอนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล คำถามคือโครงการจะยั่งยืนหรือไม่ หรือนโยบายดังกล่าวจะยังคงได้รับการให้ความสำคัญแบบเดียวกับรัฐบาลนี้หรือไม่

รวมไปถึงศักยภาพในการบริหารเม็ดเงินการลงทุนของกองทุนจะมีประสิทธิภาพ เกิดความงอกเงยเป็นผลกำไร ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันเพื่อนำเงินเหล่านั้นมาจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้ประชาชนได้มากน้อยเพียงใด เมื่อครบกำหนดตามเงื่อนไขระยะเวลา รวมไปถึงประเด็นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ของผู้บริหารกองทุน

“อยากเสนอให้นำภาคประชาสังคมมาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการ กอช.เพิ่มขึ้น ในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน หรือหากกล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ควรจะมากกว่าสัดส่วนภาครัฐ โดยผ่านเข้ามาด้วยกระบวนการเลือกตั้ง ในลักษณะเดียวกับสหกรณ์ออมทรัพย์"

ทั้งนี้ จะช่วยในการบริหารการลงทุนเม็ดเงินที่มาจากโครงการ และจะก่อให้เกิดความโปร่งใส เพราะจะเป็นการบริหารงานโดยตัวแทนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกองทุนโดยตรง โดยหากเกิดความผิดพลาด เช่น เกิดการทุจริต การนำเงินไปลงทุนอย่างไม่หมาะสม ก็จะทำให้เงินทุนเหล่านี้พร่องไป และจะกระทบถึงผลตอบแทนของผู้ลงทุนในระยะยาวได้