กฟผ. พร้อมลุยโรงไฟฟ้า SMR รับความต้องการพลังงานสีเขียวพุ่ง

"กฟผ" ย้ำไทยต้องเร่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR ยันเตรียมความพร้อมตั้งแต่ปี 2510 จาก 18 ประเทศ 80 ดีไซน์ ผนึกกระทรวงศึกษาฯ ให้ความรู้ ความเข้าใจนักเรียน-นักศึกษา
"กรุงเทพธุรกิจ" จัดงานเสวนาโต๊ะกลมหัวข้อ “SMR ทางเลือก หรือ ทางรอด GREEN ENERGY” วันที่ 18 มี.ค.2568 ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ ร่วมแสดงความคิดเห็นในหลายแง่มุมเกี่ยวกับการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR)
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า สิ่งที่ กฟผ.ต้องมองคือ 1. ความมั่นคงระบบไฟฟ้า 2. ราคา และ 3. ความสะอาด โดยทั้ง 3 ตัวต้องบาลานซ์ให้ดี โดยร่างแผน PDP ระบบพลังงานหมุนเวียนมีหลากหลายรูปแบบที่ดูคือ พลังงานหมุนเวียนแต่ยังไม่เสถียร ดังนั้น จะต้องบาลานซ์ระหว่างดีมานด์ และซัพพลาย
นอกจากนี้ ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า ความต้องการด้านพลังงานจะสูงขึ้น และอาจจะควบคุมไม่ได้ จึงต้องออกแบบระบบที่จะเข้ามา 40-50% กฟผ. กำลังดำเนินการเพื่อให้ระบบมีความมั่นคง ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงจะต้องโฟกัสหลายตัว ซึ่งเทคโนโลยี SMR จะเป็นพลังงานทางเลือกที่น่าสนใจ หากย้อนมาในอดีตปี 2510 ไทยมีแผนพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งปี 2519 กฟผ. เริ่มประมูลโรงแรก เกิดการคัดค้านมากมาย เพราะไม่มีการยอมรับ
นอกจากนี้ ขณะนั้นไทยมีก๊าซในอ่าวไทย และถ่านหินแม่เมาะ มาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าจึงลดแผนนิวเคลียร์ลง แต่เมื่อต้องมีโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 70% จึงมีความเสี่ยงการบาลานซ์สัดส่วนก๊าซ จะเกิดวิกฤติพลังงาน และบรรจุแผนอีกครั้งปี 2563-2564 ที่จะมีในไทย
อย่างไรก็ตาม โดยปี 2554 เกิดอุบัติเหตุที่ญี่ปุ่น ในช่วงนั้นนิวเคลียร์ถือว่าทันสมัย มีระบบป้องกันดีมีการสร้างกำแพงกันคลื่นสูงถึง 10 เมตร แต่ด้วยสึนามิคลื่นสูงถึง 14 เมตร ระบบแบล็กอัปไม่สามารถป้องกันได้ทำให้หลายประเทศทั่วโลกหยุดพัฒนา แต่มี 2 ประเทศ คือ จีน และรัสเซียที่ไม่หยุด
"เราจึงไม่หยุดศึกษา และพัฒนาจึงมีแนวคิดจะออกแบบโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อมาลดความซ้ำซ้อนของอุปกรณ์เป็นข้อดีที่จะควบคุมคุณภาพการผลิตได้ 100% เมื่อต่ำกว่า 300 เมกะวัตต์ จะทำให้เชื้อเพลิงขนาดเล็ก และประเมินเชื้อเพลิงปริมาณน้ำที่จะใช้รวมถึงเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะสามารถบริหารจัดการปริมาณน้ำ และความปลอดภัยได้ทันที"
นอกจากนี้ หากเทียบพื้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในการอพยพอยู่ที่ 16-17 กิโลเมตร แต่ SMR ใช้พื้นที่ไม่เกิน 1 กิโลเมตร ถือเป็นหัวใจสำคัญของ SMR นอกจากความปลอดภัยแล้วด้านราคาวันนี้หากคิดค่าก่อสร้างสูงกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซ ที่ 2-3 เท่า แต่โรงไฟฟ้าก๊าซ จะมีอายุ 25 ปี ส่วน SMR มีอายุ 60-80 ปี เมื่อคำนวณต้นทุนค่าไฟตลอดอายุใช้งาน จะคุ้มค่ากว่าโรงไฟฟ้าก๊าซ
"ปัจจุบันรอบบ้านเราเริ่มมีแล้ว เราไม่มีจึงต้องเตรียม กฟผ. ศึกษา ความเหมาะสมสถานที่ตั้ง ปี 2510 พร้อมเตรียมพร้อมบุคลากร เราร่วมศึกษา 18 ประเทศ 80 ดีไซน์เราส่งทีมไปศึกษา เพื่อเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดให้ไทย ด้านเทคนิค และอุปกรณ์ไม่ยาก สิ่งที่ยากคือ ทำให้คนเข้าใจ เราได้หารือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสอนนักเรียน และนักศึกษาเมื่อจบมาจะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยี SMR"
นอกจากนี้ เป้าหมายประเทศซึ่งภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการใช้ RE100 และตลอด 24 ชั่วโมง จึงต้องเตรียมตัว และอาจต้องเร็วกว่าแผน PDP ซึ่งวันนี้ กฟผ.เดินหน้าเตรียมทั้งคน และเทคโนโลยีโดยส่งคนไปร่วมศึกษากับผู้ผลิตบางราย และสุดท้ายจะเลือกว่าเทคโนโลยีอะไรจะเหมาะสมสุดกับประเทศ
สำหรับพื้นที่อาจจะยังเปิดเผยไม่ได้ในตอนนี้ ยืนยันว่าพื้นที่ในประเทศไทยมีความพร้อม เพราะมีแหล่งน้ำมาก โดยจุดที่ควรไปจะต้องให้ความสำคัญกับคนในพื้นที่ ที่ต้องยอมรับ และได้ประโยช์กับคนในพื้นที่ สร้างความรู้สึกว่าไม่อันตราย ดังนั้น สิ่งสำคัญต้องร่วมมือกับภาครัฐสื่อสารทำความเข้าใจ ซึ่งโจทย์ใหญ่เมื่อบุคลากรพร้อม เทคโนโลยีพร้อมคนจะต้องเข้าใจ โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษาที่จบมาจะต้องเข้าใจถือเป็นจุดสำคัญ
"การสร้างความเชื่อมั่นนั้น การสร้างคนรุ่นใหม่สำคัญ ส่วนการจัดการกาก SMR ถือว่าใช้เชื้อเพลิงไม่เยอะ เชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่บริหารจัดการได้ ในอนาคตหวังว่าจะมี SMR วางในประเทศอย่างสมบูรณ์ ช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในราคาถูก และตอบโจทย์ความสะอาด"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์