ราคาน้ำมันดิบลดลง จากทรัมป์-ปูติน โทรหารือสันติภาพยูเครน

ราคาน้ำมันดิบลดลงประมาณ 1% ในวันอังคาร เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐและประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียได้หารือถึงการยุติสงครามในยูเครน
รอยเตอร์ส รายงานภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกวันอังคาร(18 มี.ค.) ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลดลง 51 เซ็นต์ หรือ 0.72% ปิดที่ 70.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐลดลง 68 เซ็นต์ หรือ 1.01% ปิดที่ 66.90 ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบลดลงประมาณ 1% ในวันอังคาร เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐและประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียได้หารือถึงการยุติสงครามในยูเครนที่ดำเนินมา 3 ปี ซึ่งอาจส่งผลให้รัสเซียอาจได้รับผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกเชื้อเพลิง
ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากความกังวลว่าความไม่มั่นคงในตะวันออกกลางอาจทำให้อุปทานน้ำมันลดลง และความหวังว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในจีนและเยอรมนีจะช่วยกระตุ้นความต้องการเชื้อเพลิงใน 2 เศรษฐกิจใหญ่ของโลก
แต่แม้ว่าสหรัฐและรัสเซียจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในยูเครน นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าพวกเขาคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานก่อนที่การส่งออกพลังงานของรัสเซียจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
นักวิเคราะห์จากบริษัทนายหน้าค้าน้ำมัน PVM ระบุว่า “เชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซียอาจกลับมามีปริมาณมากขึ้นณช่วงใดช่วงหนึ่งจากที่ไม่ต้องถูกคว่ำบาตร แต่ไม่ได้หมายความว่าปริมาณพลังงานส่วนเกินจะเพิ่มขึ้นมาก”
ข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐ (EIA) ย้อนหลังไปถึงปี 1997 ระบุว่า รัสเซียผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 9.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในปี 2024 ซึ่งลดลงจากระดับสูงสุดเมื่อไม่นานนี้ที่ 9.8 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2022 และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2016
ในตะวันออกกลาง ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐให้คำมั่นว่าสหรัฐจะโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมนต่อไป เว้นแต่ว่าพวกเขาจะยุติการโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดง
ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะถือว่าอิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีใดๆ ที่กลุ่มฮูตีในเยเมนที่อิหร่านหนุนหลังทำ หากสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน หรือกลุ่มฮูตีโจมตีผู้ผลิตน้ำมันอาหรับรายอื่นๆ อุปทานน้ำมันทั่วโลกอาจลดลง
อิหร่าน ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรร่วมประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก) ผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2567 ตามข้อมูลของ EIA ของสหรัฐฯ
ทางการสาธารณสุขของปาเลสไตน์กล่าวว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในฉนวนกาซาทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 400 ราย ขณะที่การโจมตีเกิดขึ้น หลังการเจรจายืดเยื้อมาหลายสัปดาห์เพื่อขยายเวลาหยุดยิงที่ตกลงกันในเดือนมกราคม
ในประเทศไนจีเรีย สมาชิกโอเปก เกิดเหตุระเบิดท่อส่งน้ำมันทรานส์ไนเจอร์ เจ้าของท่อยืนยันเมื่อวันอังคาร ท่อส่งดังกล่าวสามารถขนส่งน้ำมันได้ประมาณ 450,000 บาร์เรลต่อวันจากแหล่งน้ำมันบนบกไปยังท่าส่งออกบอนนี
ในเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป รัฐสภาอนุมัติแผนการใช้จ่ายครั้งใหญ่ ยุตินโยบายการคลังแบบอนุรักษ์นิยมที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ ด้วยความหวังว่าจะฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในประเทศจีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ยอดขายปลีกเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อความพยายามของผู้กำหนดนโยบายในการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ แม้ว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นและผลผลิตของโรงงานลดลง ซึ่งตอกย้ำถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ
ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก การสร้างบ้านเดี่ยวฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวที่ลดลง แต่ต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นจากภาษีศุลกากรและการขาดแคลนแรงงานคุกคามการฟื้นตัว
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เตือนว่าภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโกลดลง และส่งผลกระทบต่อความต้องการพลังงานทั่วโลก
นักวิเคราะห์จากบริษัท Wood Mackenzie ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลและพลังงาน คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2025 ลดลง 7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากปี 2024 เนื่องจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และแผนของกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต
เมื่อต้นเดือนนี้ OPEC+ ซึ่งรวมถึงโอเปก และพันธมิตรอย่างรัสเซียและคาซัคสถาน ตัดสินใจดำเนินการตามแผนเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายน
ข้อมูลสต๊อกน้ำมันของสหรัฐฯ จากกลุ่มการค้าของสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) จะเผยแพร่ในวันอังคาร และ EIA ของสหรัฐฯ จะออกในวันพุธ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทพลังงานจะเพิ่มปริมาณน้ำมันในคลังสำรองของสหรัฐฯ ประมาณ 0.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 มีนาคม
เมื่อเทียบกับการลดลง 2.0 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์เดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1.6 ล้านบาร์เรลในช่วงห้าปีที่ผ่านมา (2020-2024)