ศักยภาพและความท้าทายของไทยในฐานะศูนย์กลาง 'เศรษฐกิจสีชมพูโลก'

ศักยภาพและความท้าทายของไทยในฐานะศูนย์กลาง 'เศรษฐกิจสีชมพูโลก'

จากการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม ถือเป็นอีกก้าวของการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) ในระดับภูมิภาคและระดับโลก นำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจและแรงงานของประเทศ

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเก็ท ธนะชัย กุลสมบูรณ์สินธ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Canvas Ventures International ซึ่งวิเคราะห์ปัจจัยของไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจสีชมพู

โดยพิจารณาทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความท้าทายที่ต้องเผชิญ รวมถึงเสนอแนวทางการพัฒนาไว้ดังนี้ครับ

มูลค่าและศักยภาพของเศรษฐกิจสีชมพูในประเทศไทย

ข้อมูลจาก LGBT Capital ในปี 2566 ระบุว่ากลุ่มประชากร LGBTQIA2S+ ทั่วโลกมีกำลังซื้อสูงถึง 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับประชากรกลุ่มนี้ในประเทศไทย 

โดยไทยติดอันดับ 4 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชียที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้สูงที่สุด ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIA2S+ จากทั่วโลกโอกาสทางธุรกิจมหาศาล โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและ HORECA (โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการ) เช่น ในช่วงสงกรานต์ปี 2567 พบว่างาน G-Circuit มีผู้เข้าร่วมกว่า 10,000 คน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 400 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจสีชมพูมีมูลค่าสูงคือพฤติกรรมการบริโภคของกลุ่ม LGBTQIA2S+ ที่มักมีภาระทางครอบครัวน้อยกว่า ไม่มีลูก ทำให้มีเงินเหลือมากกว่า มีความต้องการสินค้าและบริการระดับพรีเมียม โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว อาหาร เสื้อผ้า และของใช้ และกลุ่มที่เลือกใช้ชีวิตคู่ ก็ยิ่งมีกำลังซื้อสูงขึ้นแบบทวีคูณ (DINK: Double Income, No Kids)

หลักการ DEI และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เท่าเทียมอย่างยั่งยืน

บางคนระบุว่า DEI คือแนวคิด แต่สำหรับผมถือเป็น “หลักการ” (Principle) ในสังคมยุคนี้ คือ

  • Diversity (ความหลากหลาย): การยอมรับความแตกต่างในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพ รสนิยมทางเพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน สถานภาพทางสังคม ฯลฯ
  • Equity (ความเท่าเทียม): - การได้รับความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกัน โดยไม่มีอคติหรือการเลือกปฏิบัติ
  • Inclusion (การมีส่วนร่วม): การทำให้ทุกคนได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือสังคม

อย่างไรก็ตามการสร้างสภาพแวดล้อมที่เท่าเทียมและครอบคลุมความหลากหลายอย่างแท้จริงยังคงเป็นความท้าทายในการหาแนวทางที่ยั่งยืนสำหรับแต่ละประเทศทั่วโลก จากแนวโน้มพัฒนาการของรายงาน DEI Progress Survey ของ KPMG แต่ละปีในช่วง 2565-2567 พบว่าในช่วงแรกองค์กรส่วนใหญ่เห็นความสำคัญว่า DEI มีความสำคัญต่อการแข่งขันและการเติบโตของธุรกิจ พร้อมวางแผนเพิ่มงบประมาณสำหรับ DEI ในปี 2565 และได้เห็นแนวโน้มของสัดส่วนการยอมรับในความหลากหลาย เช่น การแต่งตั้งพาร์ทเนอร์หรือกรรมการผู้จัดการจากกลุ่มที่หลากหลายเพิ่มขึ้นในปี 2566 ต่อมาในปี 2567 จำนวนองค์กรที่ดำเนินการเรื่อง DEI อย่างจริงจังครบถ้วนกลับเหลือมีเพียงไม่กี่องค์กร

คำสั่งใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้กำหนดให้การจ้างงาน การประเมินตำแหน่ง และประเมินผลงานในหน่วยงานรัฐบาลจะไม่คำนึงถึงปัจจัยด้าน DEI อีกต่อไป แต่จะอ้างอิงจากความสามารถส่วนบุคคลเท่านั้น ในขณะที่แนวคิด DEI ยังคงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชียแปซิฟิก บริษัทระดับโลกจำนวนมากยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและครอบคลุม ซึ่งพัฒนาการของการปฏิบัติตามหลักการ DEI อย่างยั่งยืน มีความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจสีชมพู

แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีชมพูในประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้นำระดับโลกด้าน DEI และเศรษฐกิจสีชมพู โดยใช้จุดแข็งทางวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและประวัติศาสตร์ในการยอมรับความหลากหลายทางเพศมาอย่างยาวนาน นอกเหนือจากการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมและการจัดเทศกาลต่าง ๆ  แล้ว การจะบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจสีชมพูให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ จำเป็นต้องมีนโยบายที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และครอบคลุมมิติทางสังคม เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรมสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

กุญแจสำคัญคือการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบอื่นๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อความเท่าเทียม ผ่านการสร้างกลไกตรวจสอบการเลือกปฏิบัติในทุกระดับตั้งแต่ระดับรัฐบาลจนไปถึงระดับชุมชน บังคับใช้กฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติและการให้บริการภาครัฐที่เท่าเทียม ปรับปรุงกฎหมายแรงงานเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มที่มีความหลากหลายในสถานที่ทำงาน ส่งเสริมให้องค์กรและธุรกิจในประเทศไทยนำแนวคิด DEI มาปรับใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมยอมรับความหลากหลายและเพิ่มความได้เปรียบในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ ผนวกแนวคิด DEI เข้ากับยุทธศาสตร์ชาติด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่ใช่เพียงแยกส่วนเป็นโครงการระยะสั้น ฯลฯ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเปลี่ยน “จุดแข็งทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “โครงสร้างที่ยั่งยืน” สร้างความเชื่อมั่นกับทุกกลุ่มความหลากหลายทั้งในประเทศ และนักลงทุน-นักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

หากประเทศไทยสามารถจัดการกับความท้าทายเหล่านี้และคว้าโอกาสที่มีอยู่อย่างเต็มที่แล้ว ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีชมพูได้อย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่สร้างรายได้มหาศาล แต่ยังเป็นผู้นำในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและครอบคลุมสำหรับทุกคนบนโลกครับ