‘ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ ไม่ยืนต้น ”ฟันกำไรกว่า 2.4 พันล้านต่อปี

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ธุรกิจ ที่มีศักยภาพเยี่ยมเดือนก.พ.68 พบ ‘ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น’ มีทิศทางเติบโตที่สดใส ทำกำไรกว่า กว่า 2.4 พันล้านต่อปี
KEY
POINTS
- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย “ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น” เป็นธุรกิจที่เติบโตสดใด
- ปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้
“ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น” เป็นธุรกิจด้านการเกษตร ที่กำลังมาแรง อีกธุรกิจหนึ่ง เพราะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการตบแต่งพื้นที่ให้มีความสวยงาม น่ามอง และน่าประทับใจกับผู้พบเห็นแถมยังเป็น”แลนด์มาร์ค”หรือ”จุดเช็คอิน”สำหรับผู้มาเยือน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้วิเคราะห์ธุรกิจที่มีศักยภาพเยี่ยมเดือนก.พ.68 พบ ว่า ‘ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น’ อาทิ ทำสวนไม้ประดับ ปลูกพืช เพาะพันธุ์ ปลูกกล้วยไม้ และไม้ดอกต่างๆ และกลุ่มขาย อาทิ ขายส่ง-ขายปลีกดอกไม้ ต้นไม้ เมล็ดพันธุ์พืช มีทิศทางเติบโตที่สดใส
จากข้อมูลนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น (ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568) พบว่า มีธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลมีจำนวน 2,993 ราย แบ่งเป็น 1. กลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท 2.กลุ่มผลิต 4,213 ล้านบาท และ3. กลุ่มขาย 13,457 ล้านบาท
โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) 2,727 ราย (กลุ่มผลิต 378 ราย และกลุ่มขาย 2,349 ราย) รองลงมาเป็นธุรกิจขนาดกลาง M) 208 ราย (กลุ่มผลิต 3 ราย และกลุ่มขาย 205 ราย) และเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ (L) 58 ราย (กลุ่มผลิต 2 ราย และกลุ่มปลีก 56 ราย)
สำหรับธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1. กลุ่มผลิต อาทิ การทำสวนไม้ประดับ, การปลูกพืช เพาะพันธุ์ และขยายพันธุ์พืชอื่นๆ, ปลูกกล้วยไม้ และปลูกไม้ดอกอื่นๆ และ 2. กลุ่มขาย อาทิ ขายส่งดอกไม้ต้นไม้และเมล็ดพันธุ์พืช และร้านขายปลีกดอกไม้ต้นไม้และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
“อรมน ทรัพย์ทวีธรรม “อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ‘ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น’เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างโอกาสให้คนไทย และเศรษฐกิจของประเทศ
โดยไทยมีภูมิประเทศที่เป็นทำเลทอง มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งพื้นดิน อากาศที่อบอุ่นถึงร้อนชื้นเหมาะกับการเติบโตของต้นไม้ และมีแหล่งน้ำที่เหมาะสมกับการทำกสิกรรมหรือเพาะปลูกที่เป็นปัจจัยสำคัญให้ต้นไม้งอกงามเจริญเติบโตได้ดี
ประกอบกับคนไทยส่วนใหญ่มีทักษะในการเพาะปลูกเป็นทุนเดิมทำให้สามารถต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้จากธุรกิจได้โดยง่าย สอดรับกับข้อมูลของสำนักงานสถิติที่พบว่า ไทยมีผู้ทำการเกษตรจำนวน 8.6 ล้านราย บนพื้นที่ 141 ล้านไร่ จำนวนนี้เป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชผัก สมุนไพรและไม้ดอกไม้ประดับจำนวน 202,801 ราย ในพื้นที่กว่า 7 แสนไร่
“ผลประกอบการจะเห็นว่าปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 91,501 ล้านบาท กลุ่มขายสร้างรายได้สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผลิตสร้างรายได้ 4,125 ล้านบาท และขาดทุน -54.69 ล้านบาท แต่เมื่อดูย้อนหลังไป คือปี 2564-2566 พบว่า กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 64 กำไรดังนี้ 1,842 ล้านบาท, 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ"นางอรมน กล่าว
ทั้งนี้ในอนาคตคาดว่าผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่องเพราะรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เน้นสร้างความแข็งแกร่งของเกษตรกร พร้อมเปิดตลาดผลไม้ดอกไม้ประดับของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
ด้านการส่งออก พบว่า ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ เป็นมูลค่าสูงถึง 9,325 ล้านบาท โดยปี 2566 สร้างมูลค่า การส่งออกกว่า 4,548 ล้านบาท และในปี 2567 สร้างมูลค่าส่งออกกว่า 4,777 ล้านบาท
โดยส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และญี่ปุ่น และสินค้าที่สร้างมูลค่ามากกว่าครึ่งคือ การส่งออกของกล้วยไม้ไทย 5,434 ล้านบาท ซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน โดยส่งออกไปประเทศจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
เทคโนโลยีและนวัตกรรม คือ กุญแจสำคัญของการเติบโตของธุรกิจนี้ การพัฒนาเกษตรกรให้ก้าวไปสู่ Farmer Business นอกจากมีทักษะในการเพาะปลูกที่เชี่ยวชาญแล้ว การทำธุรกิจที่เป็นมืออาชีพ (Smart Farming) หรือนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วยจะทำให้เกษตรกรไทยมีศักยภาพบนเวทีโลก เพราะไทยเป็นประเทศที่ได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ดิน ฟ้า อากาศ ที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูกอยู่แล้ว การพัฒนาคนที่สามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพาะปลูกจึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ไทยมีแต้มต่อกว่าประเทศอื่นๆ
ด้านเงินทุนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถต่อยอดต่อไปได้ โดยโอกาสที่เกษตรกรต้องคว้าไว้คือ การปลูกต้นไม้เพื่อขายเป็นคาร์บอนเครดิต รวมถึงการนำต้นไม้ยืนต้นมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน นำไปใช้หมุนเวียนหรือขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นรองรับกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีมากขึ้นทุกปี