‘ข้าว - ทุเรียน’ สินค้าการเมืองร้อน สะเทือน 2 กระทรวง ‘พิชัย-นฤมล’

‘ข้าว - ทุเรียน’ สินค้าเกษตรสำคัญ หลังราคาข้าวตกต่ำ ทุเรียนส่งออกไปจีนเจอปัญหาสาร BY2 จุดชนวน 2 พรรค การเมืองร่วมรัฐบาลตอบโต้ดุเดือดใน ครม.
สินค้าเกษตรที่เป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาลในการดูแลเกษตรกรในช่วงที่ผ่านมา เจอปัญหาทั้งข้าว และทุเรียน โดยการดูแลพืชดังกล่าวแยกกันดู 2 หน่วยงาน คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลทุเรียน ส่วนกระทรวงพาณิชย์ดูแลข้าว
ช่วงที่ผ่านมา "ข้าว" เจอปัญหาราคาในประเทศลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้าทำหน้าที่ โดยราคาข้าวที่สามารถโรงสีข้าวไทยรายงานวันที่ 30 ส.ค.2567 ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ตลาดกรุงเทพฯ อยู่ที่ตันละ 11,000-14,400 บาท
ในขณะที่ราคาวันที่ 17 ก.พ.2568 อยู่ที่ตันละ 8,200-8,600 บาท ซึ่งทำให้ช่วงเดือนม.ค.- ก.พ.2568 มีความเคลื่อนไหวของชาวนาในหลายจังหวัดออกมาชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ และทำให้นายพิชัย รับบทหนักในการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
ในขณะที่สถานการณ์ "ทุเรียน" ในช่วงที่ผ่านมามีจีนเป็นตลาดส่งออกเกือบ 100% แต่กำลังเผชิญปัญหาทุเรียนเวียดนามสวมเป็นทุเรียนไทยแล้วส่งออกไปจีน โดยพบสารตกค้าง เช่น สารย้อมสี ซึ่งการส่งออกไปจีนต้องผ่านมาตรฐานสุขอนามัยจีน เช่น Gb2762. CNAS. Lrd รวมทั้งที่ผ่านมาไทยได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ และคัดเกรดคุณภาพ รวมถึงพัฒนาตราทุเรียนคุณภาพที่จีนยอมรับ เช่น Reginal Public Brand
ปัญหาของสินค้าเกษตรทั้ง 2 ชนิด นำมาสู่การหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 18 มี.ค.2568 ถึงประเด็นการส่งออกทุเรียนไทยที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการของประเทศจีนเกี่ยวกับการตรวจจับสารย้อมสี (Basic yellow2)
การประชุม ครม.ครั้งนี้ นายแพทย์ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไทยควรมีเครื่องมือตรวจปริมาณสารย้อมสีทุเรียนเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งทำให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 2 กระทรวงรีบแสดงความเห็นตอบโต้กันดุเดือด
ในที่ประชุม ครม. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เมื่ออายัดทุเรียนมาแล้วทำไมไม่ทำลายเพราะถือว่าผลผลิตมีปัญหา โดยทำให้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รีบโต้แย้งว่าตามขั้นตอนเมื่ออายัดแล้วทำลายทันทีไม่ได้เพราะต้องตรวจสอบตามขั้นตอน
ระหว่างนั้นมีรัฐมนตรีหลายคนใน ครม.แปลกใจการโต้เถียงกันรุนแรง และตั้งข้อสังเกตการดูแลสินค้าเกษตร 2 ชนิด ดังกล่าวที่อาจเกิดปัญหาระหว่างหน่วยงานก่อนหน้านี้ จนในที่สุด น.ส.แพทองธาร ต้องหย่าศึกไม่ให้ทั้ง 2 คนถกเถียงกันต่อด้วยการสั่งให้ รัฐมนตรีทั้ง 2 คน หารือนอกรอบให้ยุติก่อนแล้วจึงรายงาน ครม.อีกครั้ง
ทั้งนี้ ปี 2567 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนปลูกข้าวนาปรัง 3.2 แสนครัวเรือน ประมาณ 5.5 ล้านไร่ ล่าสุดข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า การขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปรังปีการผลิต 2567/68 ณ วันที่ 19 มี.ค.2568 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน 674,385 ครัวเรือน พื้นที่ปลูก 9.7 ล้านไร่ ซึ่งจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนสูงจากปี 2567 เท่าตัว และยังขึ้นทะเบียนได้ถึงวันที่ 30 เม.ย.2568
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนก.พ.กลุ่มชาวนาผู้ปลูกข้าวนาปรังจากหลายจังหวัดของภาคกลาง ได้ออกมาประท้วง"ราคาข้าวตกต่ำ" ทั้งการปิดถนนสายเอเชีย รวมตัวเดินทางมายื่นข้อเรียกร้องที่กระทรวงพาณิชย์เพื่อให้เร่งแก้ไขปัญหา
นายพิชัย ได้อธิบายถึงการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ และการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยสนับสนุนให้เกษตรกรได้รับเงินเพิ่มขึ้นตันละ 1,000 บาท และหากเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของตนเองจะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มเป็นตันละ 1,500 บาท
รวมทั้งช่วยชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการโรงสี 6% ต้องเก็บสต๊อกไว้ 2-6 เดือน มีเป้าหมาย 2 ล้านตัน และเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือก โดยรัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการตันละ 500 บาท มีเป้าหมาย 3 แสนตัน
นอกจากนี้ จะมีมาตรการเสริม เช่น การกระตุ้นการบริโภคข้าว โดยร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง เพื่อผลิตข้าวถุงราคาประหยัดขายผ่านห้างโมเดิร์นเทรด การเร่งรัดผลักดันการส่งออกข้าว
ขณะที่สถานการณ์ส่งออกข้าวปี 2568 จากข้อมูลของ World Market & Trade (USDA) อินเดียยังเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 โดยคาดว่าการส่งออกข้าวจะอยู่ที่ 22.50 ล้านตัน ขยายตัว 26.4% จากปีที่แล้วส่งออก เพียง 17 ล้านตัน จากระงับการส่งออกข้าวขาว ส่วนไทยจะส่งออกได้ 7.50 ล้านตัน หดตัว 24.2% ลดลงจากปี 2567 ที่ส่งออกได้ 9.95 ล้านตัน
กรมการค้าต่างประเทศ รายงานว่า การส่งออกข้าวเดือนม.ค.- 18 มี.ค.2568 อยู่ที่ 1.67 ล้านตัน เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วลดลง 24% มูลค่า 35,000 ล้านบาท ลดลง 30% โดยตลาดหลักของข้าวขาวอยู่ที่อิรัก แอฟริกาใต้ และแองโกลา ส่วนตลาดข้าวหอมมะลิอยู่ที่เซเนกัล
ส่วนราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทย ข้าวนาปรัง ลดลงเล็กน้อย อยู่ที่ 424 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่เทียบราคาเฉลี่ยกับประเทศคู่แข่ง ราคาข้าวไทยยังสูงที่สุด โดยข้าวไทยอยู่ที่ 408 ดอลลาร์ต่อตัน ข้าวเวียดนาม 400 ดอลลาร์ต่อตัน ข้าวอินเดีย 400 ดอลลาร์ต่อตัน (ราคาเฉลี่ยตลาดโลกจาก SS Rice News)
ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้การส่งออกลดลงมาจากการที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าว เวียดนามผลผลิตออกมาก ประเทศผู้นำเข้าชะลอนำเข้าเนื่องจากมีสต๊อกเหลือเยอะ และราคาข้าวขาวตกทั่วโลก ซึ่งในไตรมาสแรกคาดว่าการส่งออกข้าวของไทยจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยจะลดลงเท่าไรจะมีการวิเคราะห์ตัวเลขกับภาคเอกชน
ขณะที่การแก้ปัญหาการส่งออกทุเรียนของกระทรวงเกษตรฯ ที่ผ่านมาออกมายืนยันอย่างต่อเนื่อง โดยนางนฤมล ระบุว่า ได้รับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมผู้ค้า และผู้ส่งออกผลไม้ ขอให้ตรวจสอบอธิบดีกรมวิชาการเกษตรประเด็นห้องปฏิบัติตรวจสอบสารย้อมสีในทุเรียนส่งออก
“ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ให้นโยบายหน่วยงานในสังกัดในการทำงานเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเป็นสำคัญ ดังนั้นในกรณีนี้ก็เช่นกัน จะไม่ยอมให้บุคคลใดสร้างความเสียหายต่อเกษตรกร” นางนฤมล กล่าว
สำหรับทุเรียนเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าการส่งออกมากกว่าปีละ 100,000 ล้านบาท จีนนำเข้าผลไม้จากประเทศไทยเป็นอันดับ 1 และทุเรียนเป็นสินค้าที่นำเข้ามากที่สุด จึงจำเป็นจะต้องดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยไทยส่งออกทุเรียนไปจีนเฉลี่ยปีละ 1.3-1.4 แสนล้านบาท รวมทั้งคาดว่าปี 2568 ไทยจะส่งออกทุเรียนไปจีนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทุเรียนไทยยังครองส่วนแบ่งตลาดในจีนถึง 57%
นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ จัดอบรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งออกทุเรียนภาคตะวันออกเพื่อให้ทุเรียนไทยมีมาตรฐานปราศจากศัตรูพืชกักกันลดปัญหาการแจ้งเตือนจากประเทศปลายทาง ซึ่งขณะนี้ปัญหาการปนเปื้อน Basic Yellow 2 และสารแคดเมียมในทุเรียนสดส่งออกไปจีนที่กระทบการส่งออกผลไม้
ทั้งนี้ จีนเพิ่มความเข้มงวด และออกกฎระเบียบในการควบคุมการนำเข้า การจำหน่าย ผลไม้นำเข้าจากประเทศไทย ซึ่งหากมีการตรวจพบการปนเปื้อน BY2 และสารแคดเมียมในผลทุเรียนสด และถูกระงับการนำเข้า จะส่งผลต่อเศรษฐกิจการส่งออกผลไม้ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบต่อราคาผลผลิตของเกษตรกร
กระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ และมีภารกิจในการกำกับดูแลการตรวจติดตามโรงงานผลิตสินค้าพืชให้ได้มาตรฐาน เข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิต และรับรองสุขอนามัยพืชให้เป็นไปตามเงื่อนไขในพิธีสารส่งออกไปจีนอย่างเข้มงวด เพื่อให้การบริหารจัดการผลไม้ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
“กระทรวงเกษตรฯ เน้นย้ำในเรื่องของการปฏิบัติตามมาตรการ 4 ไม่ เพื่อควบคุมคุณภาพทุเรียนไทย ปี 2568 ได้แก่ 1. ไม่อ่อน 2.ไม่หนอน 3.ไม่สวมสิทธิ และ 4.ไม่มีสี-ไม่มีสารเคมีต้องห้าม โดยมีเป้าหมาย “Set Zero” การใช้สี การใช้สารเคมีในโรงคัดบรรจุทั้งหมด”
นอกจากนี้ ปัญหาการปนเปื้อนปัจจุบันมีห้องปฏิบัติการที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรและจีน จำนวน 8 แห่ง และเตรียมจะเพิ่มอีก 4 แห่ง เพื่อรองรับทุเรียนตะวันออกในช่วงปลาย มี.ค. ถึงต้น เม.ย. สามารถให้บริการทดสอบตัวอย่างตรวจสอบสาร BY2 และสารแคดเมียม ได้มากกว่า 2,000 ตัวอย่างต่อวัน
สำหรับสถานการณ์การผลิต และข้อมูลพยากรณ์ไม้ผลภาคตะวันออก ปี 2568 ครั้งที่ 2/2568 ทุเรียนออกดอกแล้ว 91.52 % ทุเรียนรุ่นแรก ส่วนใหญ่อยู่ในระยะดอกบานระยะหางแย้ เริ่มทยอยติดผลเล็กเพิ่มขึ้น รุ่นถัดมาการออกดอกส่วนใหญ่อยู่ในระยะมะเขือพวง ระยะกระดุม
นอกจากนี้ ทุเรียนที่จะเก็บเกี่ยวได้ก่อนคือ ทุเรียนพันธุ์เบา และทุเรียนที่บังคับสารออกดอก ได้แก่ พันธุ์กระดุม พันธุ์พวงมณี และพันธุ์หมอนทองบางส่วน ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนก.พ.ถึงเดือน ส.ค.2568 โดยจะออกสู่ตลาดกระจุกตัวมากที่สุดในเดือนพ.ค.2568
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์