จับกระแสการลงทุนของไทย... โอกาสของธุรกิจในพื้นที่EEC

การลงทุนภาคเอกชนเป็น 1 ในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนราว 20% ของ GDP ถึงแม้ว่า ในปี 2567 เครื่องยนต์นี้จะหดตัว -1.6%YoY
จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย แต่ในปี 2568 การลงทุนภาคเอกชนของไทยคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมาขยายตัวได้ที่ 3.0%YoY โดยมีแรงส่งจาก 1) การย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะของผู้ประกอบการจีนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสงครามการค้า และ 2) ความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยที่โดดเด่นกว่าคู่เทียบในภูมิภาค สะท้อนจากมูลค่าขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2567 ที่สูงถึง 8.32 แสนล้านบาท ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นราว 25%YoY ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรม Digital และอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
ทั้งนี้ สิงคโปร์เป็นชาติที่ขอรับการส่งเสริมสูงสุดคิดเป็นมูลค่า 3.58 แสนล้านบาท ขยายตัว 191%YoY ส่วนในระยะถัดไป คาดว่า FDI จากจีนจะมีบทบาทกับภาคการลงทุนไทยมากขึ้น โดยปัจจุบัน FDI จากจีนมีมูลค่าสูงกว่าแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่นถึง 3-4 เท่าตัว
เมื่อพิจารณาในเชิงพื้นที่พบว่า โครงการที่นักลงทุนต่างชาติขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 ตั้งอยู่ในบริเวณ EEC ถึง 1,121 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนถึง 4.38 แสนล้านบาท หรือราว 52% ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมจากลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด โดยโครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง ในระยะถัดไป เมื่อโครงการเหล่านี้ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนและเริ่มลงทุน ย่อมส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC และเศรษฐกิจในภาพรวมของไทย
โดยในระยะเริ่มต้นของการลงทุน ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ มีโอกาสได้รับประโยชน์จากความต้องการซื้อ/เช่าที่ดินในนิคม ความต้องการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม การซื้อคอนโดมิเนียมโดยชาวต่างชาติ ตลอดจนการเช่าพื้นที่สำนักงาน
อย่างไรก็ดี Krungthai COMPASS ประเมินว่า 5 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในแง่การย้ายฐานการผลิต กระบวนการการผลิตสินค้า และการขนส่งสินค้า ได้แก่ 1) สงครามการค้า 2) ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ 3) กฎระเบียบทางด้านการค้าโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ 5) ความพร้อมด้านเทคโนโลยี
ดังนั้น เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนในระยะสั้นและดึงดูดการลงทุนให้เพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า ภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนใน 3 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมทั้งชนิดโครงการและประสิทธิภาพ การพัฒนาชุดทักษะของบุคลากรให้เป็นที่ต้องการของนักลงทุน รวมถึงการเพิ่มการทำความตกลงทางการค้า เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าการลงทุนที่เกิดขึ้นจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน