คอกาแฟสะอื้น FAO เปิดปัจจัยผลผลิตลดฮวบทำปี 68 ราคาพุ่งต่อ

กาแฟ คือ พืชเศรษฐกิจที่มีเกษตรกรรายย่อยมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมากถึง 80% ของการผลิตทั่วโลก โดยผลผลิตกาแฟทั่วโลกมีมูลค่ามากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
และมูลค่าการค้ากาแฟทั้งหมดคาดว่าจะมากกว่า 25 พันล้านดอลลาร์ต่อปี โดยมีผู้นำเข้ากาแฟรายใหญ่ที่สุดคือสหภาพยุโรปและสหรัฐ ทั้งนี้อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกสร้างรายได้มากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าท้าย ข้อมูลจาก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ราคากาแฟโลกแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี โดยในปี2567 ราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 38.8% จากค่าเฉลี่ยของปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
ส่วนแนวโน้มตลาดกาแฟโลก พบว่าเมื่อธ.ค. 2567 กาแฟอาราบิก้าซึ่งเป็นกาแฟคุณภาพสูงที่ได้รับความนิยมในตลาดกาแฟคั่วและบด มียอดขายเพิ่มขึ้น 58% จากปีก่อน ในขณะที่กาแฟโรบัสต้าซึ่งใช้สำหรับกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟผสม มีราคาพุ่งขึ้น 70% ข้อมูลยังบ่งชี้ว่าแนวโน้มราคาอาจเพิ่มขึ้นในปี 2568
“ราคาส่งออกกาแฟอาจเพิ่มขึ้นอีกในปี 2568 หากพื้นที่ที่ปลูกกาแฟเป็นหลักประสบกับสถานการณ์ผลผลิตลดลง ซึ่งนี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคากาแฟโลกเพิ่มสูงขึ้น ทั้งกรณีเวียดนามได้จำกัดปริมาณส่งออก ขณะที่อินโดนีเซียผลผลิตลดลง และปัญหาสภาพอากาศเลวร้ายทำให้ผลผลิตในบราซิลน้อยลงด้วย ”
นอกจากนีี้ยับพบว่าปัจจัยต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้ราคากาแฟโลกเพิ่มขึ้นด้วย จากข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าในเดือนธ.ค.2567 ที่ผ่านมา ราคากาแฟในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคในสหรัฐต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น 6.6% ส่วนที่ยุโรปต้องจ่ายเพิ่ม3.75% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี2566
บูเบเกอร์ เบน-เบลฮัสเซน ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดและการค้าของ FAO คาดการณ์ว่า ราคาที่สูงขึ้นจะจูงใจให้เกิดการลงทุนด้านเทคโนโลยีการปลูกกาแฟ การวิจัยและพัฒนาต่างๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถรับมือสภาพอากาศและคงปริมาณผลผลิตกาแฟให้คงทีได้
ธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์การผลิตกาแฟไทย ปีการผลิต 2567/68 (ข้อมูล ณ เดือนมี.ค. 2568) พบว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกาแฟกว่า 220,053 ไร่ แบ่งเป็น กาแฟอาราบิกา 139,998 ไร่ และโรบัสตา 80,055 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีพื้นที่ปลูก 216,517 ไร่ แบ่งเป็น กาแฟอาราบิกา 129,778 ไร่ และ
โรบัสตา 86,739 ไร่ ผลผลิตรวม15,651 ตัน แบ่งเป็น อาราบิกา 10,682 ตัน และโรบัสตา 4,969 ตัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม พบว่า ปริมาณการผลิตรวมยังคงน้อยกว่าปริมาณความต้องการใช้ที่ต้องการมากกว่า 95,500 ตัน ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้ากาแฟทั้งในรูปเมล็ดกาแฟดิบ เมล็ดกาแฟคั่ว กาแฟสำเร็จรูป และรูปแบบอื่นๆ มากกว่า 80,000 ตัน
จากปริมาณผลผลิตที่ไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้ราคากาแฟมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งหากพิจารณาราคาที่เกษตรกรขายได้ พบว่าเมล็ดกาแฟอาราบิกา (กะลา)เฉลี่ยราคา ณ เดือนมี.ค. 2568 อยู่ที่ 163 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) เมื่อเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา กาแฟอาราบิกา (กะลา) เฉลี่ยอยู่ที่ 160 บาทต่อกก. หรือราคาเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย1.88% และสารกาแฟโรบัสตาเฉลี่ยอยู่ที่ 188 บาทต่อกก. เมื่อเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา กาแฟโรบัสตา (สารกาแฟ) เฉลี่ยอยู่ที่ 80 บาทต่อกก. หรือราคาเพิ่มสูงขึ้น135%
“จากการลงพื้นที่ของ สศก. โดย ศูนย์สารสนเทศการเกษตร ซึ่งลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การผลิตกาแฟอย่างต่อเนื่อง ทั้งพื้นที่เพาะปลูกกาแฟอาราบิก้าทางภาคเหนือ และกาแฟโรบัสต้าทางภาคใต้ ชัดเจนว่าเนื้อที่ยืนต้นกาแฟ ทั้งสองชนิด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากราคาที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรควรมุ่งเน้นการผลิตกาแฟคุณภาพสูงโดยการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ความสุกเต็มที่ ตลอดจนใส่ใจกระบวนการแปรรูป ทั้งการตากแห้ง และการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ เพราะการเพิ่มคุณภาพกาแฟ ทำให้เกษตรกรได้ราคาเพิ่มขึ้น 5-10% จากราคารับซื้อทั่วไป
ทั้งนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทยไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศ แต่ยังมุ่งสู่การขยายตลาดโลก การผลิตกาแฟพรีเมียมและการเพิ่มคุณภาพการผลิต จะช่วยยกระดับกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในระดับสากล ซึ่งถือว่าเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศในระยะยาว