'สุริยะ' ลั่นเลิกสัญญาไฮสปีด CP ไม่ได้ โต้ปม Super Deal แสนล้าน

"สุริยะ" โต้กลับปม Super Deal แสนล้าน ปัดแก้สัญญา "ไฮสปีดสามสนามบิน" เอื้อเอกชน ชี้หากล้มประมูลใหม่จะทำให้รัฐเสียหาย ผลกระทบทางต้นทุน และโครงการล่าช้าไปอย่างน้อย 3 ปี
KEY
POINTS
- “สุริยะ” โต้กลับปม Super Deal แสนล้าน ปัดแก้สัญญา “ไฮสปีดสามสนามบิน” เอื้อเอกชน
- ชี้เป็นโครงการต่อเนื่องหล
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวชี้แจงรายละเอียด ตามที่ สส. สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ กล่าวหากรณีแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) โดยระบุว่า จากข้อกล่าวหาที่ว่าให้เอกชนคว้าสัมปทานไปให้ได้ก่อน แล้วค่อยหาประโยชน์เพิ่มด้วยการแก้สัญญา และการขยายสัมปทานทางด่วน ที่ว่าให้เอกชนได้สิทธิกินเต็มที่แล้วอยากกินต่อ เลยขอขยายสัมปทานไปเรื่อยนั้น
อย่างไรก็ดี ตนขอชี้แจงว่าท่านผู้อภิปรายมีความพยายามสร้างเรื่องราวบิดเบือนข้อเท็จจริงจากจินตนาการของท่านให้ผู้ฟังโดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่รับฟังการถ่ายทอดอยู่ทางบ้านเข้าใจผิดตามว่า มีการวางแผนการณ์นี้ไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนคู่สัญญา หรือที่ท่านผู้อภิปรายพยายามเล่นคำว่า “Super Deal” โดยบิดเบือนเอามูลค่าที่สูงกว่ามูลค่าโครงการมาพูดเป็นแสนๆ ล้านนั้น ล้วนแล้วมาจากการจินตนาการลอยๆ ทั้งนั้น
โดยการอภิปรายทั้งสองโครงการเป็นการกล่าวหาเพียงลอยๆ และไม่ทราบว่าท่านผู้อภิปรายกำลังอภิปรายรัฐบาลไหน เพราะเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารด้วยซ้ำ และทั้งสองโครงการที่ท่านสมาชิกผู้อภิปรายได้อภิปราย ก็ยังเป็นโครงการที่อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมการชุดต่างๆ ยังไม่ได้เสนอถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงยังไม่ถึงมือท่านนายกรัฐมนตรีเลย ดังนั้นที่ท่านผู้อภิปรายได้พยายามเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบคำถามของท่านนั้นจึงเป็นไปไม่ได้
ทั้งนี้ ขอย้ำอีกครั้งกับท่านประธานสภาว่า รัฐบาลยังไม่ได้อนุมัติให้ดำเนินการแต่อย่างใด ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการพิจารณาร่วมกันอีกหลายหน่วยงาน รวมถึงสำนักงานอัยการสูงสุดที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันพิจารณา เพื่อให้รัฐไม่เสียประโยชน์อย่างแน่นอน
ส่วนกรณีท่านผู้อภิปรายพูดหลายครั้งว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนคู่สัญญา หรือพยายามพูดให้เข้าใจว่า มีผู้ใหญ่ / นายใหญ่ หรือนายน้อยสั่งการอยู่เบื้องหลังนั้น ประเด็นนี้ผมต้องขอเรียนท่านประธานสภาผ่านไปยังท่านสมาชิกผู้อภิปราย ให้ทราบว่า ผมไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวกับคู่สัญญาของทั้งสองโครงการแต่อย่างใด แล้วจะไปมีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนได้อย่างไร
แต่ในทางตรงกันข้าม ผมพยายามแก้ปัญหาที่พี่น้องประชาชนและภาครัฐเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องการจราจรที่ติดขัด ค่าผ่านทางแพง และโครงการที่ลงทุนไว้แล้ว แต่ดำเนินการต่อไปไม่ได้ ให้สำเร็จลุล่วงโดยยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและภาครัฐเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นไม่มีเรื่อง Super Deal แสนล้าน
สำหรับการดำเนินงานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ได้ทำสัญญากันมาตั้งแต่ในอดีต โดย ครม. ได้อนุมัติโครงการ เมื่อ 27 มีนาคม 2561 และลงนามสัญญาร่วมลงทุน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 แต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ดังนั้นยืนยันว่าผมไม่ใช่ส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหา แต่ผมเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา โดยทันทีที่เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้พบว่าโครงการนี้มีปัญหาด้านสัญญา จึงได้เข้ามาแก้ปัญหาเพื่อให้โครงการนี้สามารถเดินต่อไปได้
ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
1.EEC มีการลงทุนจากภาคเอกชนไปแล้วกว่า 1.8 ล้านล้านบาท หากถอยโครงการนี้ ประเทศจะเสียหายมาก และเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนโควิด เมื่อมีสถานการณ์โควิด ทำให้มีผลกระทบต่อการลงทุนด้วย
2. สถานการณ์โควิด ถือเป็นเหตุสุดวิสัยตามสัญญาข้อ 28.1 (1) (ฉ) เอกชนไม่สามารถชำระค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ จำนวน 10,671 ล้านบาท ได้ตามกำหนด เพื่อไม่ให้บริการหยุดชะงัก ครม. จึงมีมติเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ให้ รฟท. EEC และเอกชน เข้าดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน ซึ่ง รฟท. และเอกชนจึงได้ทำ MOU โดยเอกชนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินรถ และบำรุงรักษาและรับความเสี่ยงทั้งหมด จนถึงปัจจุบัน เอกชนขาดทุนสะสมไปแล้ว กว่า 500 ล้านบาท
3.ประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหา คือ เงื่อนไขของสัญญาที่เซ็นกันไว้ก่อนหน้านี้ระบุว่า เอกชนต้องได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ก่อน จึงจะเริ่มก่อสร้าง ดังนั้นเมื่อเอกชนยังไม่ได้รับบัตรส่งเสริมจาก BOI เนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์ ของจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงจากสถานการณ์ โควิด ทำให้ไม่สามารถเสนอแผนทางการเงินให้สมบูรณ์ตามแผนเดิม เพื่อขอรับบัตรส่งเสริมจาก BOI และระยะเวลาการขอรับบัตรส่งเสริมฯ สิ้นสุดลง จึงเกิดสถานะที่เรียกว่า Dead Lock ของสัญญาขึ้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหามีอยู่เพียงสองทาง ได้แก่ (1) การแก้ไขสัญญา หรือ (2) การยกเลิกสัญญาและประมูลใหม่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบทั้ง 2 ทางเลือกแล้ว การยกเลิกสัญญาและประมูลใหม่เป็นทางเลือกที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ทำให้คู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้
และ การประมูลใหม่จะทำให้รัฐเสียหาย เนื่องจากผลกระทบทางต้นทุน และจะทำให้โครงการล่าช้าไปอีกอย่างน้อย 3 ปี อีกทั้งจะส่งผลให้มูลค่าการก่อสร้างสูงขึ้นอย่างมาก และจะกระทบต่อแผนงานโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ในพื้นที่ EEC ที่ลงทุนไปแล้วกว่า 1.8 ล้านล้านบาท รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ
นอกจากนี้การประมูลใหม่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องและข้อพิพาททางกฎหมาย ซึ่งจะทำให้โครงการหยุดชะงัก และไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาในการก่อสร้างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากศาลมีคำสั่งให้ใช้วิธีการคุ้มครองชั่วคราว
ส่วนแนวทางการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ที่กล่าวหาว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากการจ่ายค่างานโยธาให้กับเอกชน จากเดิมที่จะจ่ายเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นการจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง ต้องเรียนว่าโครงการนั้นยังคงเป็นรูปแบบ PPP Net Cost เหมือนเดิม และเอกชนยังคงเป็นผู้รับความเสี่ยงรายได้จากปริมาณผู้โดยสารเหมือนเดิม รัฐไม่ได้เสียผลประโยชน์แต่อย่างไร
โดยจะเห็นว่าการแก้ไขสัญญานั้น ยังคงมีเงื่อนไขประกอบด้วย
1. เอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติม 160,000 ล้านบาท เพื่อประกันความสำเร็จของการก่อสร้างและการเปิดเดินรถไฟฟ้าความเร็วสูง
2. ที่ท่านได้บอกว่า การแก้ไขสัญญา รัฐจะเสียหาย เป็นการช่วยเอกชนให้ลดต้นทุนนั้น ผมขอเรียนว่าไม่เป็นความจริง แนวทางในการแก้ไขสัญญาคือ รัฐจะจ่ายเงินน้อยลงจาก 149,650 ล้านบาท เหลือเพียง 125,932 ล้านบาท เพราะเป็นการจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง ทำให้รัฐสามารถประหยัดดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 24,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ การจ่ายตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง เอกชนจะต้องโอนสิทธิความเป็นเจ้าของให้รัฐเมื่อได้รับเงินร่วมลงทุน จะช่วยให้โครงการนี้เกิดความมั่นคง หากเอกชนไม่สามารถดำเนินการต่อได้ รัฐก็ยังสามารถหาเอกชนรายใหม่มาดำเนินการต่อ ไม่เป็นปัญหาเหมือนโครงการโฮปเวลล์ในอดีต
ทั้งนี้ ขอเรียนให้ทราบอีกครั้งว่า ในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ กระทรวงคมนาคมยังคงยึดตามหลักการเดิม ที่ ครม. ได้เคยอนุมัติไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 แต่กำหนดให้เอกชนต้องจ่ายดอกเบี้ยและหลักประกันเพิ่มขึ้น รวมถึงการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐและเอกชน ได้มีการปรับให้รัฐได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้น และปรับวิธีแบ่งจ่าย ซึ่งจะทำให้รัฐประหยัดงบประมาณกว่า 24,000 ล้านบาท และได้หลักประกันเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้กระบวนการแก้ไขสัญญายังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน เพื่อเป็นการยืนยันว่ารัฐจะไม่เสียหายและเสียประโยชน์ ดังนั้น ยืนยันว่าการแก้ไขปัญหาตามหลักการนี้จะทำให้รัฐมีความเสี่ยงลดลง รัฐจ่ายเงินร่วมลงทุนเท่าเดิม และรัฐได้ค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิ้งก์เท่าเดิม