คุยกับ 'ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส' แห่ง ธปท. กับโจทย์เศรษฐกิจไทยที่รอคำตอบ

คุยกับ 'ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส' แห่ง ธปท. กับโจทย์เศรษฐกิจไทยที่รอคำตอบ

"กรุงเทพธุรกิจ" ชวนพูดคุยกับ "ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส" รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย หนี้ครัวเรือน สินเชื่อหดตัว ดอกเบี้ยนโยบาย และบัญชีม้า เพื่อให้เข้าใจปัญหาทั้งหมดชัดเจนมากขึ้น 

ช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้านทั้งจากภายในประเทศ และต่างประเทศอย่างการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (25 มี.ค.68) "กรุงเทพธุรกิจ" ชวนพูดคุยกับ "ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส" รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย หนี้ครัวเรือน สินเชื่อหดตัว ดอกเบี้ยนโยบาย และบัญชีม้า เพื่อให้เข้าใจปัญหาทั้งหมดชัดเจนมากขึ้น 

คุยกับ \'ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส\' แห่ง ธปท. กับโจทย์เศรษฐกิจไทยที่รอคำตอบ

ในมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย มองภาพเศรษฐกิจปัจจุบันอย่างไร

เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่หลายท่านคาดการณ์ไว้ ทำให้ธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากรายได้ของผู้กู้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้า ส่งผลให้การเติบโตของสินเชื่อไม่มากนัก

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้พยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกมาตรการต่างๆ เช่น การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยลดภาระการผ่อนชำระ และล่าสุดได้มีการปลดล็อกมาตรการ LTV (Loan to Value) เป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับบ้านหลังที่สอง และหลังที่สาม รวมถึงการปรับเพดาน LTV สำหรับบ้านหลังแรกที่มีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท

นอกจากนี้ เราได้เห็นความไม่ราบรื่นในระบบเศรษฐกิจ จึงได้ออกโครงการ "คุณสู้เราช่วย" เพื่อประคับประคองผู้ที่มีรายได้น้อยไปจนถึงผู้ที่มีรายได้ระดับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่หนักกว่าที่คาดคิดไว้ แต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ในระยะยาวได้

ธนาคารแห่งประเทศไทย มีมาตรการระยะยาวอย่างไร?

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางแผนระยะยาว 2-3 ปี โดยได้พัฒนา E-financial Landscape ที่พยายามตอบโจทย์ด้วยหลักการ 3 O ได้แก่:

  1. Open Infrastructure - สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เสรีมากขึ้น และมีต้นทุนต่ำ
  2. Open Data - เปิดให้มีการเข้าถึงข้อมูลเพื่อการพิจารณาสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยดูจากข้อมูลภาษี สาธารณูปโภค และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการทำความรู้จักกับธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) ของธนาคารพาณิชย์
  3. Open Competition - ส่งเสริมการแข่งขัน โดยออกใบอนุญาตให้ Virtual Bank เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกิจธนาคาร และเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม แม้ Virtual Bank จะช่วยเพิ่มการแข่งขัน และให้บริการลูกหนี้รายชายขอบ รายย่อย และ SMEs ขนาดเล็ก แต่ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ทุกกลุ่มได้ เช่น ผู้ที่ต้องการใช้บริการที่สาขาธนาคาร หรือธุรกิจขนาดใหญ่ ดังนั้น ธนาคารรูปแบบเดิมก็ยังคงมีบทบาทอยู่ควบคู่กันไป โดยรวมแล้ว นโยบายเหล่านี้มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้กับระบบการเงินของประเทศไทย

คุยกับ \'ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส\' แห่ง ธปท. กับโจทย์เศรษฐกิจไทยที่รอคำตอบ

การดำเนินการเรื่อง 3 Os เป็นอย่างไรบ้าง?

 การดำเนินการตามแนวคิด 3 Os นี้ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว เป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคต คาดว่าในปี 2568 จะสามารถเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการได้ เช่น ข้อมูลด้านภาษี และค่าสาธารณูปโภคในปีนี้ ส่วนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างธนาคารอาจต้องรอถึงปีหน้า

ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างธนาคารจำเป็นต้องมีการพูดคุย และตกลงร่วมกันในหลายประเด็น เช่น รูปแบบข้อมูล และประเภทข้อมูลเงินฝากที่จะแลกเปลี่ยน ซึ่งต้องใช้เวลาในการกำหนดมาตรฐานร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่เราเชื่อว่า "อะไรที่ปูทางยาว ก็จะให้ประโยชน์ระยะยาว"

อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะหากเศรษฐกิจตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก และไม่สามารถฟื้นตัวได้ ก็จะส่งผลเสียในระยะยาวเช่นกัน ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องดำเนินมาตรการทั้งระยะสั้น และระยะยาวควบคู่กันไป

ช่วงที่ผ่านมามีรายงานว่าหนี้ต่อจีดีพีของไทยลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเพราะแบงก์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อจนหดตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทาง ธปท. มองผลกระทบต่อ SMEs อย่างไร

ปัญหาของ SMEs มีสองส่วนหลักๆ คือ:

  1. SMEs มีความเสี่ยงสูง ทำให้สถาบันการเงินไม่มั่นใจในการปล่อยสินเชื่อ จึงมักต้องมีการค้ำประกัน ซึ่งหลายครั้ง SMEs อาจไม่มีผู้ค้ำประกัน
  2. ความไม่โปร่งใสของข้อมูล ทำให้การประเมินความเสี่ยงทำได้ยาก

ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงมุ่งแก้ปัญหาทั้งสองด้าน โดยพยายามจัดให้มีสถาบันค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs และในอนาคต สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) จะมีบทบาทมากขึ้นในการให้บริการลูกหนี้ชายขอบ

จากข้อมูลทั้งหมดอาจทำให้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีบทบาทไม่ครอบคลุมเพียงพอ เราจึงจัดตั้ง “NaCGA” ขยายบทบาทของ บสย. ให้กว้างขึ้น พร้อมทั้งให้สถาบันเหล่านี้มีข้อมูลที่มากขึ้นเพื่อการตัดสินใจ ข้อมูลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ NaCGA ควรสามารถกำหนดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันได้เองตามระดับความเสี่ยง กล่าวคือ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยก็จะเสียค่าธรรมเนียมน้อย ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงก็จะเสียค่าธรรมเนียมสูงขึ้น การมีข้อมูลที่เพียงพอจะช่วยให้สามารถแยกแยะระดับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดี การพัฒนาโมเดลการประเมินความเสี่ยงต้องใช้เวลาก่อนที่จะมีความเสถียร และใช้งานได้จริง ดังนั้นที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยจึงทำโครงการ "Your Data" ที่จะช่วยให้คนชายขอบ และ SMEs สามารถส่งข้อมูลของตัวที่มีอยู่ในที่ต่างๆ มาให้ NaCGA ได้ แต่ในเบื้องต้น ต้องรวบรวมข้อมูลพื้นฐานให้ครบถ้วนก่อน

ขณะนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ถูกบังคับให้ส่งข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว (Processed data) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ชุดข้อมูลลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ที่จัดทำขึ้นเองเพื่อการประมวลผลด้านต่างๆ เช่น การให้สินเชื่อ แต่หากในอนาคตต้องการเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็ก ก็สามารถแจ้งความจำนงได้

มองปัญหาของธุรกิจขนาดกลาง และใหญ่ เหมือน SMEs หรือไม่?

ปัญหาของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดใหญ่แตกต่างจาก SMEs อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์กับสถาบันการเงิน

สำหรับธุรกิจรายใหญ่ ธนาคารมักจัดเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้มีความรู้จัก และเข้าใจธุรกิจอย่างชัดเจน ส่งผลให้ความกลัว และความกังวลในการปล่อยสินเชื่อมีน้อย

ในทางกลับกัน ธุรกิจขนาดเล็กมักไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ทำให้ธนาคารมีข้อมูล และความเข้าใจน้อย เกิดความไม่มั่นใจสูง

ด้วยเหตุนี้ การค้ำประกันสินเชื่อจึงมีบทบาทสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก NaCGA จะให้บริการค้ำประกันสินเชื่อธุรกิจทุกขนาด แต่ในภาวะปกติ กลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็น SMEs ขนาดเล็ก ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่อาจไม่จำเป็นต้องใช้บริการค้ำประกัน

ธนาคารแห่งประเทศไทยมองปัญหาหนี้ครัวเรือนปัจจุบันของไทยอย่างไร

หนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ไม่ว่าตัวเลขโดยรวมจะเป็นเท่าใดก็ตาม ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีหนี้ 89% ของรายได้ ความจริงแล้วอาจมีหลายคนที่มีหนี้สูงกว่านี้มาก

เราสังเกตเห็นว่าคนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้น และเป็นหนี้เป็นระยะเวลานานขึ้น ซึ่งสะท้อนปัญหาที่ลึกกว่าตัวเลขเปอร์เซ็นต์ จึงจำเป็นต้องพิจารณาการกระจายตัวของหนี้ด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย ตระหนักถึงปัญหานี้ จึงได้ออกโครงการ "คุณสู้เราช่วย" เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ลูกหนี้บางกลุ่มมีรายได้ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดความไม่ราบรื่นในการชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม โครงการ "คุณสู้เราช่วย" อาจไม่สามารถช่วยผู้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรังมานาน แต่จะเน้นช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้เติบโตช้าแต่ยังมีแนวโน้มที่จะชำระหนี้ได้ กล่าวคือ โครงการนี้เหมาะสำหรับ "คนที่ยังสู้อยู่" แต่สำหรับ "คนที่ไม่สู้แล้ว" อาจจำเป็นต้องใช้มาตรการอื่นที่เหมาะสมกว่า

ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ ผลตอบรับค่อนข้างช้า ซึ่งสร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยเองที่สงสัยว่าเหตุใดจำนวนผู้เข้าร่วมจึงน้อยกว่าที่คาดไว้มาก

เราพบว่ามีผู้สนใจจำนวนมากที่ติดต่อเข้ามา แต่ไม่เข้าเกณฑ์คุณสมบัติของโครงการ หลังจากหารือกับหลายฝ่าย เราพบว่าการประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึง จึงได้เพิ่มการประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินให้ช่วยติดต่อลูกค้าที่มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์โดยตรง เนื่องจากธนาคารเป็นผู้ที่รู้ข้อมูลลูกค้าดีที่สุด แต่ก็พบปัญหาว่าลูกหนี้มักไม่รับสายจากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย

การกำกับดูแลสถาบันการเงิน ท่ามกลางการเข้ามาของเทคโนโลยี บทบาทเปลี่ยนไปอย่างไร?

ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เรามีความตั้งใจที่จะป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติทางการเงินที่มีสาเหตุจากสถาบันการเงินอีกครั้ง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นกรณีในสหรัฐอเมริกาที่มีการถอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์จนทำให้ธนาคารล้ม ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องนำมาพิจารณา

หากสถาบันการเงินใดใช้บริการออนไลน์เป็นจำนวนมาก เราจำเป็นต้องมีการหารือ และกำกับดูแลอย่างเหมาะสม

เรื่องคอลเซนเตอร์ และบัญชีม้า ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการอย่างไร?

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นในช่วง 3-5 เดือนที่ผ่านมา โดยได้มีการจัดกลุ่มบัญชีม้าในปี 2567 และติดตามสถิติอย่างใกล้ชิด

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้จัดทำรายชื่อบัญชีม้า ซึ่งเราพบว่าการใช้งานบัญชีเหล่านี้มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม ยังมีบัญชีม้าที่ยังไม่ถูกระบุอย่างชัดเจน (เรียกว่า "ม้าน้ำตาล")

เราต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยแจ้งเตือนลูกค้า เช่น หากมีรายชื่อบัญชีที่อาจเป็น "ม้าน้ำตาล" ควรรีบแจ้งให้ลูกค้าทราบโดยเร็ว และหากพบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ ควรเรียกลูกค้ามายืนยันตัวตน

มีบทลงโทษอย่างไร?

ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนการหารือเกี่ยวกับพระราชกำหนดใหม่ และได้พูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย

ความเห็นที่เรามีคือ หากมีผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานที่ได้ตกลงกันไว้ บุคคลนั้นควรต้องร่วมรับผิดชอบ ซึ่งรวมถึงผู้เสียหาย และตัวธนาคารพาณิชย์เองด้วย เช่น กรณีที่ใช้รหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย ดังนั้นจะเห็นว่าความรับผิดชอบเริ่มตั้งแต่ตัวผู้ใช้บริการเอง ผู้ให้บริการ และธนาคารพาณิชย์

มุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทยคือ เราต้องการให้มีมาตรฐานที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารพาณิชย์ต้องมีส่วนในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัย หากตรวจพบว่าธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดแล้ว ก็ถือว่าได้ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเหมาะสม

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์