‘สารัชถ์’ ทุ่มแสนล้านปั้น Gulf โต สลัดภาพ ‘อินทัช’ ลุยอินฟราเทค

“กัลฟ์-อินทัช” ควบรวมฉลุยตั้งบริษัทใหม่ “กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์” กลับเข้าเทรด 3 เม.ย.68 “สารัชถ์” เคลียร์ผู้ถือหุ้น ชี้แผนธุรกิจอนาคต ลงทุน 5 ปี 1 แสนล้าน 60-70% ดันรายได้โต
KEY
POINTS
- หลังกัลฟ์กับอินทัชควบรวมจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มีผล 1 เม.ย.68
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ Gulf และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH จัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมกันเมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 25 มี.ค.2568 โดยหลังควบรวมจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มีผลวันที่ 1 เม.ย.2568 และจะกลับมาทำการเปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 3 เม.ย.2568
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเห็นชอบมีการกำหนดทุนจดทะเบียน 14,939 ล้านบาท ทุนชำระแล้ว 14,939 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 14,939 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
รวมทั้งอนุมัติเลือกตั้งกรรมการ GULF รวม 12 คน แบ่งได้ 2 กลุ่ม ดังนี้
1.กรรมการ GULF ที่ได้รับแต่งตั้งต่อเนื่องจากบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) คือ นายวิเศษ จูภิบาล, นายปรีดี ดาวฉาย, นายสมประสงค์ บุญยะชัย, นายสารัชถ์ รัตนาวะดี, นางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์, นายบุญชัย ถิราติ, น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ และนางโชติกุล สุขภิรมย์เกษม
2. กรรมการ GULF ที่แต่งตั้งเข้ามาใหม่ คือ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ, ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์, นางสิริวิภา สุพรรณธเนศ, นายดิษทัต ปันยารชุน
นอกจากนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเวลา 11.00 น.เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2568 ซึ่งจัดขึ้นก่อนที่จะประชุมผู้ถือหุ้นร่วมกัน 2 บริษัท โดยมีผู้ถือหุ้นได้สอบถามประเด็นผลของการควบรวมกับ INTUCH จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคตอย่างไร รวมถึงจะมีผลต่อการจ่ายปันผลของบริษัทใหม่อย่างไร
“สารัชถ์” แจงผู้ถือหุ้นผลดีควบรวม
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังประชุมผู้ถือหุ้น วานนี้ (25 มี.ค.2568) ว่าการดำเนินงานที่ผ่านมาของกลุ่มกัลฟ์ แบ่งเป็น
1.ธุรกิจพลังงาน 2.ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 3.ธุรกิจดิจิทัล 4.และ ธุรกิจ Investment ซึ่งการดำเนินงานถือว่าการเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถสร้างรายได้ และการเติบโตได้เป็นอย่างดี
นายสารัชถ์ กล่าวว่า ในการควบรวมกับ INTUCH นั้น จากผลดำเนินงานของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ที่ผ่านมาถือว่ามีผลประกอบการที่ดีกว่าเป้าหมายจากกำไรเดิมกว่า 2.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งปีที่ผ่านมามีกำไรกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น จึงขอแจ้งกับผู้ถือหุ้นในรอบสุดท้ายว่า จะเปลี่ยนชื่อบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ GULF ซึ่งการควบรวมจะมีผลวันที่ 1 เม.ย.2568 และจะกลับมาทำการเปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 3 เม.ย.2568
ทั้งนี้ ยืนยันว่าหลังควบรวมจะสร้างรายได้ให้กลุ่มกัลฟ์มากขึ้น โดยจะเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐานอินฟราสตรัคเจอร์ โทรคมนาคม ดาต้าเซนเตอร์ และการเงิน มุ่งสู่ธุรกิจแห่งอนาคต ซึ่งดาต้าเซนเตอร์ปัจจุบันมีกำลังผลิต 24 เมกะวัตต์ ที่มีเป้าหมายจะสร้างเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2568 ขณะนี้มีลูกค้าจองเต็มหมดแล้ว และจะขยายในเฟสต่อไปซึ่งกำลังการผลิตจะมากกว่าเดิม
ดังนั้น รายได้ที่เข้ามาจะต่อยอดธุรกิจอื่นทั้งพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล คลาวด์ และดาต้าเซนเตอร์
มั่นใจช่วยต่อยอดธุรกิจกัลฟ์
“การควบรวมจะทำให้ความสามารถทางรายได้ดีขึ้น อัตราส่วนหนี้สินผู้ถือหุ้นลดลง ขยายฐานได้มากขึ้น ปีที่ผ่านมาเราออกบอนด์ 2 ครั้ง 2-3 หมื่นล้านบาท เป็นจำนวนในระดับที่ดี อาจจะเทียบจากหลายบริษัทที่ไม่สามารถจ่ายคืนได้ ทำให้บอนด์ของกัลฟ์ได้รับการตอบรับดี ทุกครั้งที่ออกบอนด์จะดีเกินเป้า” นายสารัชถ์ กล่าว
นอกจากนี้ การควบรวมจะทำให้กัลฟ์แข็งแรงมากขึ้น จะได้ส่วนแบ่งกำไรไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี และจะได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี หนี้สินต่อทุนลดลง 0.8 เท่า จากเดิมไม่เกิน 1.8 เท่า เพราะ INTUCH ไม่มีหนี้ มีสภาพคล่องสูง สามารถต่อยอดธุรกิจพลังงานโครงสร้างพื้นฐาน กระจายความเสี่ยง ส่งผลให้รายได้เดิมจากกำไรกลุ่มธุรกิจพลังงาน 60% อีก 40% จะมาจากอีก 3 ธุรกิจ
“หลังจากวันที่ 1 เม.ย.นี้ ก็น่าจะเห็นการลงทุนที่มากขึ้นในเชิงรุก โดยเฉพาะการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศที่ปัจจุบันมีคนมาชวนลงทุนจำนวนมาก รวมถึงการลงทุนธุรกิจดาต้าเซนเตอร์โครงการที่ 2-3 และธุรกิจดิจิทัลมากขึ้น”
สำหรับในส่วนของกำไร และเงินปันผลหลังควบรวมนั้น อาจจะยังตอบตอนนี้ไม่ได้ เพราะหากจะมาจากผลประกอบการบริษัทใหม่ จะต้องดูนโยบายแผนการลงทุนในอนาคต การบริหารจัดการกระแสเงินสด เพื่อจะสร้างความสมดุล ทั้งผลตอบแทนผู้ถือหุ้น การเงินการลงทุน และขยายการลงทุนในอนาคต แต่อยากให้ความมั่นใจว่ากัลฟ์มีการจ่ายปันผลมาตลอด โดยจะเห็นว่าตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา กัลฟ์มีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง
ดันแผน 5 ปีลงทุน 1 แสนล้านบาท
“การควบรวมไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เราเกิดจากบริษัทที่มีฐานะการเงินที่แข็งแรง มีทิศทางทางธุรกิจใหม่ที่ดี สร้างความมั่นคง คณะผู้บริหารมีความสามารถ มีประสบการณ์ที่จะเลือกกิจการที่น่าลงทุน" นายสารัชถ์ กล่าว
ดังนั้น หลังควบรวมทำให้สถานะทางการเงินดีขึ้น ต้นทุนทางการเงินต่ำลงมาก ความสามารถทางการแข่งขัน และกำไรสูงขึ้น โดยกัลฟ์ตั้งเป้างบลงทุน 5 ปี 1 แสนล้านบาท โดย 60-70% เป็นการลงทุนพลังงานสะอาด ในขณะที่ปีนี้จะใช้งบลงทุน 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า อาจมีโครงการที่ไม่ดีหลุดมาบ้าง โดยกัลฟ์ก็มีการมอนิเตอร์ทุกขั้นตอน อีกทั้งสิ่งที่กัลฟ์คำนึงถึงตลอดเวลา คือ ผู้ถือหุ้นทุกคนในบริษัท คำนึงถึงความโปร่งใส ระมัดระวังการลงทุน หากผิดพลาดจะกลับมายังผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น
ดังนั้น แนวทางหลังควบรวมจะทำธุรกิจใหม่อีกหรือไม่ ต้องตอบเลยว่ามีตลอดเวลา เพราะผู้บริหารมีหลักการบริหารที่ยึดมั่นความถูกต้องยึดหลักธรรมาภิบาล
“สารัชถ์”แจงเหตุค่าไฟแพง
นายสารัชถ์ กล่าวถึงประเด็นที่หลายคนมองว่าปัญหาค่าไฟแพงมาจากการจ่ายค่าความพร้อมจ่ายต้องบอกว่าโครงสร้างค่าไฟมี 2 ส่วน คือ 1.ค่าพร้อมค่าซึ่งมีสัดส่วนที่ 10-15% และ 2.ค่าพลังงานสัดส่วน 80% ซึ่งต้องนำเข้าโดยสมัยก่อนการนำเข้าก๊าซ LNG ที่ 2-3 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
ทั้งนี้เมื่อเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครนทำให้ราคาก๊าซขึ้นไปเกือบ 90 ดอลลาร์ โดยปัจจุบันอยู่ที่ 9.5 ดอลาร์ สูงกว่าก่อนหน้า จึงสรุปได้ว่าที่ค่าไฟแพงขึ้นมาจากค่าพลังงาน
ด้านการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซที่ประเทศสหรัฐขนาดกำลังผลิต 1,200 เมกะวัตต์ (MW) ที่ผ่านมาได้เซ็นสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังไม่มีการทำอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากระหว่างการควบรวมจะมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการลงทุนมาก เพราะอาจทำให้ราคาหุ้นของทั้ง GULF และ INTUCH ไม่สมดุลกัน
ยืนยันซื้อหุ้นกสิกรคุ้มค่า
นายสารัชถ์ กล่าวว่า นโยบายการลงทุนในธนาคารกสิกรไทย (KBANK) 77 ล้านหุ้น 3.25% และจะซื้อเพิ่มหรือไม่นั้น นอกจาก 3 ธุรกิจ และธุรกิจที่ควบรวมยังมีการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศอื่นๆ อีก ซึ่ง KBANK เป็นอีกการลงทุนที่จะช่วยให้แข็งแรงเสริมแกร่งธุรกิจมีสภาพคล่องสูง ซึ่งการจะเพิ่มหุ้นอีกหรือไม่นั้น อยู่ที่สถานการณ์ว่าหากหุ้นลงก็ซื้อเพิ่ม แต่ถ้าหุ้นเพิ่มก็ขายเอากำไร ทุกอย่างเป็นไปได้หมด
ส่วนการลงทุนโครงการด้านพลังงานสะอาด อาทิ นิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR ไฮโดรเจน และ เทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน หรือ CCS นั้น กัลฟ์ไม่มีความสนใจที่จะลงทุน เพราะมีประสบการณ์ที่โดนประชาชนขับไล่สมัยทำโรงไฟฟ้าถ่านหินมาแล้ว ดังนั้น หากภาครัฐจะผลักดันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR กัลฟ์ก็พร้อมสนับสนุน และให้คำแนะนำ
ขณะที่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เช่น โครงการท่าเรือ, โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) บริษัทไม่มีแผนที่จะทำแล้ว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์