เศรษฐศาสตร์ว่าด้วย ‘เส้นความยากจน’ ไทยจ่อปรับใหม่สะท้อนภาวะศก.

ประเทศไทยถึงเวลาปรับปรุง "เส้นความยากจน" ที่ใช้มาหลายปีหลังเกณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจ การปรับปรุงเกณฑ์จะช่วยกำหนดนโยบายดีขึ้น
KEY
POINTS
- ประเทศไทยถึงเวลาปรับปรุง "เส้นความยากจน" ที่ใช้มาหลายปีหลังเกณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
- การปรับปรุงเกณฑ์จะช่วยให้การกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนมีประสิท
“เส้นความยากจน” เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่ใช้เป็นเส้นแบ่งที่ใช้ในการวัดว่าบุคคลหรือครัวเรือนใดมีรายได้หรือการบริโภคต่ำกว่าระดับที่ถือว่ายากจน โดยทั่วไปแล้ว เส้นความยากจนจะถูกกำหนดโดยพิจารณาจากค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า และการเข้าถึงบริการสาธารณะ
ในประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้กำหนดและปรับปรุงเส้นความยากจน โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ เส้นความยากจนของประเทศไทยมีการปรับปรุงเป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ประเทศไทยวัดความยากจนทั้งในมิติรายได้ และความยากจนหลายมิติ ความยากจนด้านรายได้ จะพิจารณาจากรายได้ต่อหัวต่อเดือน ความยากจนหลายมิติ จะพิจารณาจาก 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ ด้านการศึกษา
จากข้อมูลในปี 2563 ปัจจุบันเส้นความยากจนของทั้งประเทศไทยอยู่ที่ 2,803 บาท/เดือน หรือ 93 บาท/วัน ทำให้มีประชากรที่ยากจนในประเทศทั้งหมด 4,404,600 คน ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวเลขนี้เป็นตัวเลขเดียวกับเกณฑ์ของธนาคารโลก ซึ่งกำหนดให้เส้นความยากจนในระดับ Upper Middle Income ของไทย เท่ากับ 93 บาท/ วัน เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นอกจากเส้นความยากจนระดับประเทศแล้ว สำนักงานสถิติแห่งชาติยังแยกเส้นความยากจนออกเป็นรายจังหวัดตามค่าครองชีพ ทำให้นิยามความรวยจนในแต่ละจังหวัดของไทยนั้นไม่เท่ากัน โดยจังหวัดที่มีเส้นความยากจนสูงที่สุดสามอันดับก็คือ 1. กรุงเทพฯ (3,308 บาทต่อเดือน) 2. พัทลุง (3,021 บาทต่อเดือน) และ 3. นนทบุรีและชลบุรี (2,994 บาทต่อเดือน)
และหากคิดจากเส้นความยากจนแยกเป็นรายจังหวัดดังกล่าว พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนจำนวนประชากรยากจนสูงสุดในประเทศ 3 อันดับแรกคือ 1. ปัตตานี (30.85%) 2. กาฬสินธุ์ (25.2%) 3. แม่ฮ่องสอน (24.59%) ขณะที่จังหวัดที่มีสัดส่วนประชากรคนจนน้อยที่สุดในประเทศคือ 1. ชลบุรี/ นนทบุรี (0%) 2. ระยอง (0.12%) 3. ฉะเชิงเทรา (0.54%)
อย่างไรก็ตามเส้นความยากจนนั้นต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยขณะนี้ สศช.อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลเส้นความยากจนของประเทศไทยใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเร็วๆนี้สศช.ร่วมกับ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดเสวนาหัวข้อ การพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการติดตามสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย
นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เป็นประธานรายงานผลการศึกษาการพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการติดตามสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย
นางสาววรวรรณ กล่าวว่า เส้นความยากจนเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการสะท้อนมาตรฐานการดำรงชีพและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งนำไปสู่การออกแบบนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่จะสามารถช่วยลดปัญหาความยากจน อย่างไรก็ตาม เส้นความยากจนทางการที่ใช้ในปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2556 โดยใช้แบบแผนการบริโภคจากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2554 เป็นฐานการคำนวณ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและโครงสร้างการบริโภคของประชาชนในปัจจุบัน ทำให้เกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องปรับปรุงเส้นความยากจนให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน เพื่อให้การออกแบบมาตรการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผลการศึกษาที่นำเสนอในครั้งนี้เป็นเพียงการประมวลข้อมูลเบื้องต้น โดย TDRI จะนำความเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมไปปรับปรุงผลการศึกษา และ สศช. จะมีการจัดประชุมเชิงลึกก่อนที่จะปรับปรุงเส้นความยากจนอย่างเป็นทางการ
ด้าน ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI ได้นำเสนอแนวคิดในการวัดเส้นความยากจน โดยใช้เกณฑ์วัดจากความต้องการอาหารและสิ่งจำเป็นขั้นต่ำที่เพียงพอต่อการดำรงชีพของแต่ละบุคคล ซึ่งมีการปรับใช้ข้อมูลชุดใหม่และการปรับเปลี่ยนปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณให้สอดคล้องกับบริบทประเทศไทยตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งกล่าวถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละแนวทาง และเปรียบเทียบผลการศึกษาในแต่ละทางเลือกไปพร้อมกัน
โดยผลการศึกษา พบว่า การปรับปรุงเส้นความยากจนในทุกทางเลือกทำให้จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค และรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากนโยบายการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ในปี 2555 - 2556 อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของคนจนไม่ได้หมายความว่า "คนจนลง” แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึง "มาตรฐานการครองชีพขั้นต่ำที่สูงขึ้น” นอกจากนี้ ควรมีการปรับปรุงเส้นความยากจนอย่างน้อยทุก 5 ปี เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและแบบแผนการบริโภค และหลีกเลี่ยงการเผชิญกับปัญหาการประเมินคนจนที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
ในการประชุมครั้งนี้ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ TDRI ได้ร่วมแสดงความเห็น โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้จำนวนคนจนมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ควรเน้นเพียงการปรับเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้เท่านั้น เช่น การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการกินอาหารนอกบ้านอาจเป็นผลมาจากต้นทุนค่าเสียโอกาสของเวลา
ซึ่งสะท้อนถึงพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนอาจเลือกที่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อประหยัดเวลาในการทำอาหารกินเอง เนื่องจากมีภาระหน้าที่อื่นเพิ่มขึ้น และยังเสนอว่า ไม่ควรยึดติดกับหลักการหรือวิธีการเพียงอย่างเดียว แต่ควรเลือกเกณฑ์การวัดเส้นความยากจนที่สามารถสะท้อนคนจนได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ในช่วงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผู้เข้าร่วมประชุมได้แสดงความเห็นและข้อเสนอแนะในประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวางและเป็นประโยชน์ต่อการปรับเกณฑ์ในการพิจารณาความยากจน ซึ่งจะมีการรวบรวมและศึกษาเพิ่มเติมในระยะต่อไป