'ไฮสปีด 3 สนามบิน' ดีเลย์ถึง มิ.ย.นี้ จ่อเสนออัยการแก้สัญญาอีกรอบ

'ไฮสปีด 3 สนามบิน' ดีเลย์ถึง มิ.ย.นี้ จ่อเสนออัยการแก้สัญญาอีกรอบ

บอร์ด รฟท.ไฟเขียวร่างสัญญา "ไฮสปีดสามสนามบิน” เสนออัยการสูงสุดตรวจสอบ ก่อนชง ครม. คาดลงนามสัญญาใหม่ มิ.ย.นี้ ขีดเส้น 270 วัน เอกชนต้องวางแบงก์การันตี 1.6 แสนล้านบาท

KEY

POINTS

  • บอร์ด รฟท.ไฟเขียวร่างสัญญา "ไฮสปีดสามสนามบิน" เตรียมเสนออัยการสูงสุดตรวจสอบ ก่อนเสนอ ครม.เห็นชอบ คาดลงนามสัญญาใหม่ มิ.ย.นี้
  • ยันพร้อมออก NTP ให้เอกชนเข้าพื้นที่ทันที ขีดเส้น 270 วัน “เอเชีย เอรา วัน” ต้องวางแบงก์การันตีเพิ่มรวม 1.6 แสนล้านบาท
  • รับโครงการล่าช้ามากว่า 3 ปี เดินหน้าเร่งเอกชนสร้างทันที ขีดเส้นต้องแล้วเสร็จภายใน 5 ปี ตอกเสาเข็มส่วนแรกสถานีอู่ตะเภา และพื้นที่ทับซ้อนไฮสปีดไทยจีน

นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. วันนี้ (27 มี.ค.) โดยระบุว่า ที่ประชุมบอร์ดมีมติเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบินฉบับแก้ไขตามหลักการของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาตตะวันออก (กพอ.) ที่มีมติให้แก้ไข 5 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย

1.วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิมเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง รัฐแบ่งจ่าย 149,650 ล้านบาท ปรับเป็นลักษณะสร้างไปจ่ายไป โดยรัฐจ่ายเงินสนับสนุนเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท.ตรวจรับ และกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของรัฐทันทีตามงวดการจ่ายเงิน

2.กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิ 10,671 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่ากัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา

3.กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการลดอย่างมีนัยสําคัญ

4.การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยกำหนดให้ รฟท.สามารถออกหนังสือ NTP ได้โดยไม่ต้องรอเอกชนรับบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้ รฟท.ออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมด

5. ปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น

นายอนันต์ กล่าวว่า สาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนครั้งนี้มี 2 ประเด็นหลัก คือ เรื่องวิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน ซึ่งบอร์ด รฟท.กำชับว่ารัฐต้องไม่เสียประโยชน์ โดย รฟท.ยืนยันว่าวิธีการนี้ไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เนื่องจากการปรับมาเป็นวิธีการสร้างไปจ่ายไป รฟท.มีข้อกำหนดให้เอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ต้องวางเงินหลักประกัน หรือ แบงก์การันตีเพิ่มเติมจากกรอบสัญญาเดิมรวมประมาณ 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างเสร็จภายใน 5 ปี

อย่างไรก็ดี หลักประกันที่เอกชนต้องนำมาวางในโครงการนี้ จึงจะแบ่งออกเป็น หลักประกันตามสัญญาเดิม 2 ส่วน คือ หลักประกันสัญญา วงเงิน 4,500 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี และหนังสือค้ำประกันผู้ถือหุ้น วงเงิน 149,650 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี ส่วนหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาวางให้กับ รฟท.ภายใน 270 วันหลังลงนามแก้ไขสัญญา

โดยหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องจัดหา 160,000 ล้านบาทนั้น ประกอบด้วย

1. หนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท

2. หนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท

3. หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาท

4. หนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท

โดยวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือกำหนดทยอยชำระรวม 7 งวด

“หลักประกันก้อนใหม่ เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันทันทีที่ลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุน โดยใช้เวลาหาหลักประกันได้ และนำมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามสัญญา หรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนต้องวางหลักประกันทันที โดยการสร้างไปจ่ายไปจะทยอยจ่าย 5 งวด งวดละประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยเมื่อเอกชนสร้างงานโยธาเสร็จ มาส่งงานก็จะสามารถคืนแบงก์การันตีเท่าจำนวนงวดงานกลับไปด้วย”

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า ภายหลังผ่านการเห็นชอบจากบอร์ด รฟท.แล้ว ร่างสัญญาฉบับใหม่จะถูกส่งไปยังคณะกรรมการกำกับโครงการฯ ก่อนเสนอไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่ากระบวนการเหล่านี้จะแล้วเสร็จ พร้อมลงนามสัญญาภายในเดือน มิ.ย.2568 หลังจากนั้น รฟท.พร้อมออกหนังสือ NTP เพื่อให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้าง และแล้วเสร็จภายใน 5 ปีนับจากนี้

อย่างไรก็ดี รฟท.ได้เจรจากับทางเอกชนคู่สัญญาเพื่อให้เร่งรัดก่อสร้างงานส่วนของสถานีท่าอากาศยานอู่ตะเภา และพื้นที่ทับซ้อนในโครงการไฮสปีดไทย – จีนเป็นส่วนแรก เนื่องจากงานโยธาทั้งสองส่วนนี้เกี่ยวข้องกับโครงการอื่น และเป็นส่วนที่ต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับโครงการอื่น เนื่องจากภาพรวมของโครงการไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินปัจจุบันล่าช้ามากว่า 3 ปี จากแผนเดิมต้องเริ่มก่อสร้างในปี 2564

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงความคืบหน้าโครงการไฮสปีดไทย - จีน พร้อมระบุว่าช่วงพื้นที่ทับซ้อนกับโครงการไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน ส่วนของสัญญาที่ 4-1 ช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง ทางกลุ่มซีพีซึ่งเป็นเอกชนร่วมทุนไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน ยังคงยืนยันที่จะก่อสร้างงานโยธาพื้นที่ทับซ้อนนี้ และคาดว่าจะมีการเสนอแก้สัญญาร่วมทุนเข้า ครม.พิจารณาในเดือน เม.ย.นี้