ลุยสอบ 'นอมินีจีน' ปมตึก สตง.จ่อเอาผิดต่างด้าว - มอก.- ฮั้วประมูล

ลุยสอบ 'นอมินีจีน' ปมตึก สตง.จ่อเอาผิดต่างด้าว - มอก.- ฮั้วประมูล

“ดีเอสไอ - พาณิชย์” เร่งตรวจสอบนอมินีบริษัทจีน เล็งเอาผิด เข้าข่ายฮั้วประมูล ชงดีเอสไอเป็นคดีพิเศษ “เอกนัฏ” เสนอบอร์ดบีโอไอถอดสิทธิประโยชน์

KEY

POINTS

  • การตรวจสอบบริษัททุนจีนใช้กฎหมาย 3 ฉบับ คือ กฎหม

อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งทำให้สังคมมีการตื่นตัวถึงมาตรฐานการก่อสร้างอาคารที่บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ก่อสร้าง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปตรวจสอบกรณีการถือหุ้นแทน และส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เป็นประธานการประชุมสรุปสถานการณ์กรณีอาคาร สตง.ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างได้ถล่มพังเสียหายในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งที่ประชุมรายงานข้อเท็จจริงในมิติที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นมีประเด็นที่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมาย 3 ฉบับ คือ

1.พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 

2.พ.ร.บ.ว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 

3.พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ซึ่งมีประกาศ กคพ.ฉบับที่กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดฯ ไว้ โดยเป็นอำนาจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่จะมีคำสั่งให้รับเป็นคดีพิเศษได้

อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีข้อสั่งการให้กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และกองคดีคุ้มครองผู้บริโภคเร่งทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว หากพบความผิดที่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ให้รีบเสนอมาเพื่อพิจารณาสั่งการให้ทำการสืบสวนสอบสวน และทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว

“กรณีดังกล่าวแม้เป็นภัยธรรมชาติแต่เกิดเหตุการณ์อาคารของ สตง.ถล่มเพียงแห่งเดียว และเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลรวมถึงกระทรวงยุติธรรมให้ความสำคัญ เพราะมีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งมีผู้สูญหายจำนวนมาก" พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าว

ลุยสอบ \'นอมินีจีน\' ปมตึก สตง.จ่อเอาผิดต่างด้าว - มอก.- ฮั้วประมูล

 

รวมทั้ง กระทบความสงบเรียบร้อยของประชาชน ปรากฏมีข้อสงสัย และการตั้งคำถามของประชาชนมากมายเกี่ยวกับมาตรฐานวัสดุ รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับกิจการร่วมค้าฯ ที่เป็นผู้ก่อสร้าง ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจำต้องทำความจริงให้ปรากฏ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ประเด็นผู้รับเหมาก่อสร้างตรวจสอบนอมินี และความผิดการเสนอราคาต่อรัฐ กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด พบข้อมูลจดทะเบียนวันที่ 10 ส.ค.2561 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นพบข้อมูลการเชื่อมโยงกับบริษัทที่อาจเข้าข่ายฮั้วประมูล รวมทั้งได้ตรวจสอบการถือครองทรัพย์สินของผู้ถือหุ้นคนไทย 

นอกจากนี้ ได้มีการขยายผลการตรวจสอบนิติบุคคลอื่นซึ่งมีที่ตั้งเดียวกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ลุยสอบ \'นอมินีจีน\' ปมตึก สตง.จ่อเอาผิดต่างด้าว - มอก.- ฮั้วประมูล (ประเทศไทย) จำกัด รวมทั้งนิติบุคคลอื่นซึ่งมีกรรมการ และผู้ถือหุ้นของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10(ประเทศไทย) จำกัด เข้าไปเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นอยู่ด้วยรวมอีก 13 ราย 

รายงานข่าวระบุว่า บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีผู้ถือหุ้น 4 ราย ประกอบด้วย

1.บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป คัมปะนี สัญชาติจีน ถือหุ้น 490,000 หุ้น 

2.นายโสภณ มีชัย สัญชาติไทย ถือหุ้น 407,997 หุ้น 

3.นายประจวบ ศิริเขตร สัญชาติไทย ถือหุ้น 102,000 หุ้น 

4.นายมานัส ศรีอนันท์ สัญชาติไทย ถือหุ้น 3 หุ้น 

"ไชน่า เรลเวย์” อาจเข้าข่ายนอมินี

นายพิชัย กล่าวว่า การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าบริษัทดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นนอมินี หรือมีคนไทยถือหุ้นแทนเพื่อให้ต่างด้าวเลี่ยงปฏิบัติตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทย เพราะพบความผิดปกติหลายประการ เช่น ตรวจสำนักงานใหญ่ไม่พบการเปิดทำการ รวมทั้งไม่สามารถติดต่อได้ทั้งทางโทรศัพท์ และไลน์

 

ทั้งนี้ คณะทำงานปราบปรามสินค้า และธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่มี ร.ต.จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานได้สรุปข้อมูล และเสนอคณะกรรมการปราบปรามสินค้า และธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายวันที่ 4 เม.ย.2568 เพื่อสรุปส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการต่อทางกฎหมายถึงที่สุดทั้งคดีแพ่ง และอาญาเพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก

พบเหล็กจีนไม่ได้มาตรฐาน

สำหรับการตรวจสอบในประเด็นตามผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 ซึ่งจะพิจารณาเหล็กที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอาคาร สตง.เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยเหล็กก่อสร้างต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มอก.แบบบังคับเพราะเป็นสินค้าที่มีผลต่อความปลอดภัยของประชาชน

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตรวจสอบมาตรฐาน มอก.โดยส่งให้สถาบันเหล็ก และเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เป็นผู้ตรวจสอบได้ผลเบื้องต้นเมื่อวันที่ 31 มี.ค.2568 จากการตรวจสอบ 7 รายการ คือ

1.เหล็กข้ออ้อย ขนาด 12 มิลลิเมตร

2.เหล็กข้ออ้อย ขนาด 16 มิลลิเมตร

3.เหล็กข้ออ้อย ขนาด 20 มิลลิเมตร พบไม่ได้มาตรฐานค่าความสามารถต้านแรงดึง ของบริษัทซินเคอหยวน สตีล จำกัด

4.เหล็กข้ออ้อย ขนาด 25 มิลลิเมตร

5.เหล็กข้ออ้อย ขนาด 32 มิลลิเมตร ไม่ได้มาตรฐานค่าความสามารถต้านแรงดึง ของบริษัทซินเคอหยวน สตีล จำกัด

6.เหล็กเส้นกลม ขนาด 9 มิลลิเมตร

7.เหล็กลวดสลิง

ลุยสอบ \'นอมินีจีน\' ปมตึก สตง.จ่อเอาผิดต่างด้าว - มอก.- ฮั้วประมูล

จีนแห่ลงทุน Induction Furnace

รายงานข่าวระบุว่า เหล็กส่วนใหญ่ที่นำมาตรวจสอบเป็นเหล็กที่ผลิตจากบริษัท ซิน เคอ หยวน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเหล็กจากจีนที่มีการขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทเหล็กได้ทยอยเข้ามาลงทุนในไทยหลายแห่งหลังจากที่รัฐบาลจีนแก้ปัญหาฝุ่นควันในจีนที่มีปัญหารุนแรงเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา และได้ออกกฎหมายห้ามการผลิตเหล็กด้วยเตาหลอมแบบ Induction Furnace

ทั้งปัจจุบันมีผู้ผลิตเหล็กในไทยที่ใช้เทคโนโลยีเตาหลอมแบบ Induction Furnace รวม 12 บริษัท ประกอบด้วย

1.บริษัท บีเอ็นเอสเอส สตีล กรุ๊ป จำกัด จ.ชลบุรี 

2.บริษัท ชลบุรี สเปเชี่ยล สตีล กรุ๊ป จำกัด จ.ชลบุรี 

3.บริษัท ซิน เคอ หยวน จำกัด จ.ระยอง 

4.บริษัท เอบี สตีล จำกัด จ.สระแก้ว 

5.บริษัท หลิ่ง หนัน สตีล จำกัด จ.นครปฐม 

6.บริษัท เชาว์ สตีล จำกัด จ.ปราจีนบุรี

7.บริษัท ไทยซิง สตีล จำกัด จ.ปราจีนบุรี 

8.บริษัท ทีเอสบี เหล็กกล้า จำกัด จ.ปราจีนบุรี 

9.บริษัท สิงห์ไทย สตีล จำกัด จ.ปราจีนบุรี 

10.บริษัท เคพีพี สตีล จำกัด จ.ปราจีนบุรี 

11.บริษัท ไทย เฮง สตีล จำกัด จ.เพชรบุรี 

12.บริษัท ตงเป่า สตีล จำกัด จ.นครราชสีมา

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาเหล็กให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยเสนอให้มีการยกเลิก มอก.ที่ผลิตจากเตา Induction Furnace และปรับปรุง มอก.เหล็กเส้นให้มีคุณภาพสูงขึ้น และกำหนดให้รายงานการผลิตให้เป็นไปตามข้อกำหนดใน มอก.

รวมทั้งเสนอให้ออกกฎหมายควบคุม และจำกัดเตา Induction Furnace รวมถึงการห้ามใช้เหล็ก T (Tempcore) ในอาคารสูงหรือโครงสร้างที่เสี่ยงต่อแรงสั่นสะเทือน และตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาและมาตรฐานเหล็กเส้นในโครงการรัฐ

ขณะนี้การป้องกันเหล็กเข้ามาทุ่มตลาดในไทยได้เสนอให้ใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) และ Safeguard เพื่อป้องกันการทุ่มตลาด ร่วมกับมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี รวมถึงให้ควบคุมการถือหุ้นของต่างชาติ และกำหนดหลักเกณฑ์การขอรับ BOI ให้รัดกุมขึ้น

ตรวจสอบ“ซินเคอหยวน”ไม่ได้มาตรฐาน

นายเอกนัฏ กล่าวว่า เหล็กของบริษัท ซินเคอหยวน จำกัด เป็นโรงงานผลิตเหล็กเส้นข้ออ้อย โดยก่อนหน้านี้ช่วงเดือน ธ.ค.2567 ได้ส่งทีมชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่ ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง และพบข้อบกพร่องด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อมหลายจุด โดยเฉพาะด้านการผลิตเหล็กที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จึงยึดอายัดเหล็กไว้ตรวจสอบ

ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบช่วงเดือนม.ค.2568 พบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ตกเกณฑ์ที่สำคัญที่ส่งผลโดยตรงกับความแข็งแรงของเหล็ก จึงมอบหมายให้ชุดตรวจการสุดซอย เข้าแจ้งผลต่อบริษัท พร้อมยึดอายัดเหล็กไม่ได้มาตรฐานดังกล่าว จำนวน 2,441 ตัน มูลค่าราว 49.2 ล้านบาท และให้ดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้ว

“โรงงานที่พบว่าผลิตเหล็กไม่ได้มาตรฐานนี้ เป็นโรงงานที่ไปตรวจ และสั่งปิดไปตั้งแต่เดือนธ.ค.2567 แต่การก่อสร้างเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 สร้างมาแล้ว 5 ปี ซึ่งในการตรวจเหล็กจะตรวจ 2 ส่วน คือ คุณสมบัติด้านการกล และคุณสมบัติทางเคมี ซึ่งครั้งแรกที่ไปตรวจตกทางเคมี และล่าสุดที่ตรวจเมื่อวานคือ ตกทางกล ที่ผ่านมาสั่งให้หยุด และอายัดของกลาง เรียกเก็บสินค้ามา และให้หยุดเพื่อปรับปรุง”

เสนอบอร์ดบีโอไอถอดสิทธิประโยชน์

นายเอกนัฏ กล่าวว่า สำหรับซินเคอหยวน ทำมาค้าขายในประเทศไทยมานาน อีกทั้ง ยังได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วย ซึ่งตลอดการทำงานในหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 6 เดือน โดนตั้งค่าหัวสูงยืนยันว่าไม่กล้ว โดยภารกิจสำคัญคือ การปราบทุน 0 เหรียญ ที่มาอยู่ในประเทศแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับไทย เป็นทุนต่างชาติ 100% จ้างงานต่างด้าว 100% ภาษีบางเจ้าไม่ต้องจ่าย ดังนั้น สิ่งสำคัญจะต้องผลักดันให้ธุรกิจไทยเติบโต ซึ่งเหล็กชนิดแบบนี้นักธุรกิจไทยสามารถทำได้

“ได้ตรวจ และปิดโรงงานเหล็กไปแล้ว 7 โรงงาน อยู่ระหว่างการสอบสวนอีก 3 โรงงาน มูลค่า 400 ล้านบาท ซึ่งจากที่ทำมา 6 เดือน บางเรื่องมีลักษณะการดำเนินงานเป็นกระบวนการ และได้ข่าวว่ายังมีความพยายามวิ่งเต้น และข่มขู่เจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ตนเข้าใจ ไม่เป็นไร ถ้าไม่กล้าพูดตนก็จะพูดเอง เกิดอะไรขึ้นตนรับผิดชอบเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ตนคิดว่าเราปล่อยปละละเลยต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

อย่างไรก็ตาม ตนในฐานนะ รมต.อุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ บอร์ดบีโอไอ จึงมองว่าเห็นสมควรที่จะถอนสิทธิบัตรหรือสิทธิประโยชน์ในการสนับสนุนการลงทุนออกจากบีโอไอ แน่นอนว่าจะต้องมีคณะกรรมการบีโอไอพิจารณา ดังนั้น ในด้านของคดีความก็ต้องดำเนินไป

เก็บข้อมูลถอนใบอนุญาต มอก.เหล็กจีน

“ผมเข้าไปตรวจตอนโรงงานซินเคอหยวนเกิดไฟไหม้ และให้หยุดเมื่อเดือนธ.ค.2567 และอาศัยอำนาจของกฎหมายตาม พ.ร.บ.โรงงานให้หยุดกิจการ และต่อเมื่อเมื่อตรวจพบว่าเหล็กที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานก็สั่งปิด ดังนั้น ในวัน หรือ 2 วันนี้ จะเข้าไปตรวจสอบที่โรงงานอีก หากพบว่าเหล็กที่อายัดไว้หากนำมาขายแม้แต่เส้นเดียวจะมีโทษเพิ่มทันที แต่ต้องขอยืนยันว่าเหล็กที่สั่งยึดไว้คนละเรื่องกับที่บอกว่าเอาของกลางมาสร้างตึก สตง. เพราะตึกมีการสร้างมาก่อนที่สั่งปิดนานแล้ว” นายเอกนัฏ กล่าว

นอกจากนี้ ในส่วนของการเพิกถอน มอก. ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ที่ดำเนินการเหมือนกันทุกราย เมื่อเจอตกมาตรฐานก็ต้องอายัดเก็บขั้นตอนแรก ปกติตามขั้นตอนจะให้โอกาสธุรกิจ ไม่เช่นนั้นหากเจอแล้วปิดเลยก็จะเสี่ยงโดนฟ้องได้ แต่เมื่อให้โอกาสแล้วยังนำเหล็กที่ตกมาตรฐานมาใช้อีกก็ต้องดำเนินคดี ส่วนตัวถ้าตกมาตรฐานขนาดนี้ต้องเดินหน้าเพิกถอนใบอนุญาต มอก. และต้องเก็บข้อมูลให้ดี

5เดือนจับเหล็กไร้มาตรฐานกว่า 300 ล้าน

นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในเรื่องของการยกเลิกสิทธิจากบีโอไอ ถือเป็นการยกระดับความเข้มข้นในการใช้ตามกฎหมายว่า หากพบว่ามีการฝ่าฝืนไม่เป็นไปตามกฏหมายของการผลิตเหล็กที่ไม่เป็นไปตามคุณภาพ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อขอให้ยกเลิกสิทธิพิเศษที่ซินเคอหยวนได้รับ

ส่วนเหล็กที่ผลิต และไม่ได้มาตรฐาน หลังจากเราตรวจพบจะมีการยกระดับในการออกคำสั่งอยู่แล้ว ซึ่งในตอนนี้ โรงงานซินเคอหยวนถูกปิดอยู่ ดังนั้น กระบวนการผลิตของโรงงานก็ถูกยุติ และหากตรวจพบว่า มีการลักลอบฝ่าฝืนจะต้องเอากฎหมายของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ไปจับในข้อหาของการฝ่าฝืนคำสั่งมาตรา 39 และนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาต มอก.

รายงานข่าวจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนพ.ย.2567-มี.ค.2568 จับกุมผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นกลม มอก.20 มี 2 คดี (ผู้ผลิตในประเทศ 2 ราย) โดยทำผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับใบอนุญาต มูลค่า 5,973,753.13 บาท และทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มูลค่า 18,196,158.34 บาท รวมทั้งหมด มูลค่า 24,169,911.47 บาท

ในขณะที่ผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อย มอก.24 มี 3 คดี (ผู้ผลิตในประเทศ 3 ราย) โดยทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มูลค่า 334,368,709.5 บาท

สำหรับบทลงโทษสำหรับผู้ทำและผู้นำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่การจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์