หอการค้าไทย แนะไทยเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ลดแรงกดดันการค้า

หอการค้าไทย แนะไทยเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ลดแรงกดดันการค้า

ปธ.สภาหอการค้าไทย คาด "ทรัมป์" ขึ้นภาษีทำสินค้าทะลักเข้าไทย แนะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่ม ทั้งสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านการค้า

นายพจน์ อร่ามวัฒนนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งนโยบายมีความชัดเจนเรื่องของการขึ้นภาษีกับประเทศที่ได้หนุนการค้ากับสหรัฐ รวมถึงเรื่องดึงการลงทุนเข้าไปในสหรัฐ หากพิจารณามูลค่าการค้าเฉพาะหมวดสินค้าเกษตร และอาหารพบว่าไทยเกินดุลสหรัฐ 142,654 ล้านบาท โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเกษตรอาหารอันดับที่ 11 ของโลก และไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

อย่างไรก็ตามไทยเองควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควตาภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐ ให้มีจุดยืนที่เป็นธรรม และสมดุล (Fair and Balance Postion) ในการเจรจากับสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการลดแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐคือ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร และอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐ ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรอง

ทั้งนี้ทางหอการค้า มีความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐ กับทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนรวมถึงไทย สร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทย และผู้ประกอบการไทยในทุกระดับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

นอกจากนี้โดยหอการค้าฯ เสนอให้รัฐบาลไทยพิจารณาการนำเข้าสินค้ากลุ่มต่างๆ เพื่อที่ไม่กระทบต่อคู่ค้า และเกษตรกรภายในประเทศ ประกอบด้วย

1. พืชอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง) ที่ผ่านมาไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงเพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปัจจุบันยังต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และหมอกควัน การเปิดโควตานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ

ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวของไทย จะช่วยให้เกษดรกรผู้เลี้ยงสัตว์ (โค สุกร ไก่) ไทยมีต้นทุนวัตถุดิบที่ดี และถูกลง ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกเนื้อสัตว์ไปต่างประเทศดีขึ้น รวมทั้งจะช่วยผู้บริโภคในประเทศในประเภทเนื้อสัตว์ด้วย

2.สินค้าอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่าจากเรือชักธงสหรัฐ ซึ่งไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศ

3. สินค้าประเภทสุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Whisky & Wine)

4. เครื่องในสัตว์ เพื่อนำมาผลิต และแปรรูปในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ทำเป็นสินค้าเกรดพรีเมียมเพื่อส่งออกหอการค้าฯ มองว่านโยบายภาษีของสหรัฐ จะทำให้ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของโลกเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ซึ่งปัจจุบันประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่นได้มีการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคกันแล้ว อีกทั้งสหภาพยุโรปก็มีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับแคนาดาในการเปิดตลาดกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วยเช่นกัน

" ทางหอการค้าฯ เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลของไทยจำเป็นต้องเร่งเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี  FTA โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FTA ไทย-ยุโรป FTA อาเซียน-แคนาดา รวมถึงการปรับปรุงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้สำเร็จภายในปี 2568 นี้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ GDP ของไทยเติบโตขึ้นได้ไม่ต่ำกว่า1 % รวมทั้งการส่งออกจะโตได้ไม่ต่ำกว่า 10 %" นายพจน์ กล่าว

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์