สรท.เตรียมปรับเป้าส่งออกทั้งปี หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีไทย

สรท. เผย สหรัฐปรับขึ้นภาษีไทยสูงเกินความคาดหมาย ประเมินหลายอุตสาหกรรมเจอผลกระทบขึ้นภาษี รอดูตัวเลขผลกระทบรายสินค้า พ.ค. นี้ จ่อปรับเป้าส่งออกจากเดิมทั้งปี โต 1-3 %
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศไทย 36 % สูงเกินคาดหมาย โดยคำนวณจากยอดเกินดุลการค้าของไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารประเมินมูลค่าความเสียหายจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐได้ แต่คาดว่าหลายอุตสาหกรรมต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่จะมีหรือน้อย
โดยขณะนี้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมกำลังประเมินตัวเลขผลกระทบ ซึ่งในเดือนพ.ค.จะมีความชัดเจนมากขึ้น คาดว่าจะสรุปผลได้ในช่วงเดือนพ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ปฏิรูปโครงสร้างการผลิต และทบทวนนโยบายกับประเทศคู่ค้าทั้งหมด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกอบการในประเทศ
“สรท.ตั้งเป้าการส่งออกทั้งปี ขยายตัว 1-3% โดยอาจจะมีการปรับเป้าหมายการส่งออกอีกครั้งในไตรมาส 2 โดยขอหารือกับผู้ประกอบการเพื่อประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นรายสินค้าแต่ละตัว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง”นายธนากร กล่าว
สำหรับมีปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ประกอบด้วย 1.Trade War Trump 2.0 ความไม่นอนของเศรษฐกิจโลกและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จากมาตรการภาษีศุลกากร ส่งผลให้ต้นทุนทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น 2. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังไม่มีข้อยุติทั้ง รัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-กลุ่มฮามาส แม้มีข้อตกลงหยุดยิงแต่ยังคงมีการปะทะกันในหลายพื้นที่
3. ค่าเงินบาทยังคงมีความผันผวน เป็นผลมาจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัจจัยราคาทองคำ 4. ปัจจัยเฝ้าระวังขนส่งสินค้าทางทะเล ทั้ง ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่จะส่งผลต่อความผันผวนและมีผลต่อการวางแผนการสต็อกและส่งออกสินค้า สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคทะเลแดงมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ค่าระวาง ดัชนีรวมปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยค่าระวางเส้นทางไปยังเอเชียปรับเพิ่มขึ้นในหลายเส้นทางซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้า และ 4ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการของสหรัฐฯ ต่อเรือขนส่งสินค้าที่ต่อในประเทศจีน (Chinese-Built vessel)
ทั้งนี้ สรท. มีข้อเสนอ 3 เร่งที่สำคัญ คือ 1. เร่งเจรจาสหรัฐ โดย ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เร่งนำเข้าสินค้าที่ไทยต้องการจากสหรัฐฯ เพื่อลดการเกินดุลการค้าและ ใช้แนวทาง ASEAN+ ในการเจรจา เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับสหรัฐ
2. เร่งเจรจาและใช้ประโยชน์ FTA กับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า และกระจายสินค้าไปในตลาดอื่นได้มากขึ้น ซึ่งภาครัฐ โดยเฉพาะทูตพาณิชย์ ต้องมีการทำงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3. เร่งปฏิรูปการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของไทย โดยสนับสนุนการลงทุน ใช้วัตถุดิบและทรัพยากรในประเทศไทยเป็นส่วนประกอบหลัก การมีส่วนร่วมของอุตสาหกรรมต้นน้ำและซัพพลายเออร์ภายในประเทศ อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงภายในประเทศ เพื่อให้แรงงานไทยมีการยกระดับ เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้า จากการหลบเลี่ยงมาตรการสหรัฐเข้ามาทุ่มตลาดไทย
รวมถึงการทำ re-export ผ่าน Free Zone และ เร่งปฏิรูประบบโลจิสติกส์และการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพื่อลดต้นทุนการค้าระหว่างประเทศของไทย ให้แข่งขันได้ อาทิ เร่งแก้ไขปัญหาความแออัดภายในท่าเรือแหลมฉบัง เร่งพัฒนาระบบ National Single Window ให้เป็น Single Submission โดยสมบูรณ์ เร่งรัดพัฒนาระบบ Port Community System (PCS) และส่งเสริมการถ่ายลำ (Transshipment) เป็นต้น
ส่วนการส่งออกเดือนก.พ.มีมูลค่า 26,707 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14% การนำเข้ามีมูลค่า 24,718.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 4.0 % ส่งผลให้ไทย เกินดุล 1,988.3 ล้านดอลลาร์ ภาพรวม 2 เดือนแรก (ม.ค. – ก.พ.) ไทยส่งออกรวมมูลค่า 51,984.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.8 %
อย่างไรก็ตามเมื่อเจาะลึกไปดูตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวที่สูงกลับไม่สอดคล้องกับดัชนีภาคการผลิตของไทยหรือ PMI ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือน ดังนั้นจะต้องไปพิจารณาว่าเป็นการลงทุนใหม่เพื่อการผลิตส่งออกหรือไม่หรือมีการสวมสิทธิ์สินค้าไทยแล้วส่งออกหรือไม่ ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร (สรท.) กล่าวว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐค่อนข้างมากกระทบต่อสินค้าอุตสาหกรรมของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐค่อนข้างมาก ทั้งเครื่องโทรศัพท์ โทรสาร เครื่องปรับอากาศ รถยนต์ ขณะที่สินค้าเกษตรก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งสินค้าแต่ละตัวก็ได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน
โดยมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการนำเข้า เมื่อสินค้ามีราคาสูงขึ้นก็ทำให้ส่งออกไปได้ลดลง โดยสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบชัดเจนเนื่องจากประเทศคู่แข่งเสียภาษีน้อยกว่า ได้แก่ สับปะรด ซึ่งฟิลิปปินส์โดนขึ้นภาษีน้อยกว่าไทย ขณะที่ผลิตภัณฑ์ยางพารา โดยมาเลเซียถูกปรับขึ้นภาษีน้อยกว่าไทยเช่นกัน ขณะเดียวกันต้องมีการกำหนดมาตรฐานสินค้าเพื่อป้องกันการเข้ามาทำตลาดของประเทศคู่แข่งที่มีต้นทุนถูกกว่า
“ตัวเลขการส่งออกในไตรมาส 1 ไม่น่ามีปัญหา ตัวเลขน่าจะขยายตัว 2 หลัก ส่วนไตรมาส 2 ยังมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้าอยู่แต่เบื้องต้นคาดว่าตัวเลขจะลดลงจากผลกระทบของทรัมป์ โดยช่วงหลังสงกรานต์ ผู้ส่งออกไทยน่าจะได้รับข้อมูลจากฝั่งผู้นำเข้าถึงผลกระทบ และจะสามารถประเมินได้ว่าตัวเลขในไตรมาส 2 จะลดลงเท่าไร ”นายคงฤทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐในครั้งนี้ยังมีแนวทางแก้ไข คือ การเจรจากับสหรัฐในแต่ละประเทศที่โดนสหรัฐขึ้นภาษีจะเป็นตัววัดว่า ช่วงไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ต่อเนื่องไปปี 69 เรื่องของคำสั่งซื้อสินค้าจะไปที่ประเทศไหนมากกว่ากัน ซึ่งอยู่กับความสามารถในการเจรจาของแต่ละประเทศ และจะชิงความได้เปรียบทางการค้ามากกว่าประเทศที่เจรจาด้อยกว่า