พาณิชย์จ่อหั่นเป้าเงินเฟ้อทั้งปี ผลจากทรัมป์ปรับขึ้นภาษี

พาณิชย์ เผย เงินเฟ้อเดือนมี.ค.สูงขึ้น 0.84 % ไตรมาสแรกเงินเฟ้อสูงขึ้น 1.08 % คาดไตรมาส 2 เงินเฟ้อลดลงเตรียมปรับคาดการณ์เงินเฟ้อใหม่เดือน พ.ค.ผลจากนโยบายทรัมป์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เงินเฟ้อเดือนมี.ค. 2568 เท่ากับ 100.35 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.84 % โดยปัจจัยหลักมาจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูป ประกอบกับมีการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล และค่าเช่าบ้าน เป็นสำคัญ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น 0.86%
ทั้งนี้เงินเฟ้อเดือนมี.ค.ที่สูงขึ้น 0.84% มาจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 2.35 % จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำอัดลม กาแฟ (ร้อน/เย็น)) กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ (เนื้อสุกร ปลานิล ปลาทู กุ้งขาว) กลุ่มอาหารสำเร็จรูป (ข้าวราดแกง กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว) กลุ่มผลไม้สด (ทุเรียน ฝรั่ง สับปะรด มะพร้าวอ่อน)
กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร (น้ำมันพืช มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) น้ำพริกแกง) กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง (ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ขนมอบ) และกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาล (ขนมหวาน น้ำตาลทราย)
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ผักสดบางชนิด (มะนาว พริกสด ผักกาดขาว ขิง ผักชี ต้นหอม มะเขือ ขึ้นฉ่าย) ไข่ไก่ ไก่ย่าง ผลไม้บางชนิด (องุ่น มะละกอสุก) และอาหารโทรสั่ง (Delivery)
หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.18 % จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ ของใช้ส่วนบุคคล (แชมพู ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว สบู่ถูตัว แป้งผัดหน้า) สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด (ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น น้ำยารีดผ้า) เครื่องรับโทรศัพท์มือถือ และเสื้อผ้า (กางเกงขายาวบุรุษ เสื้อยืดบุรุษและสตรี) ขณะที่มีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาสูงขึ้น อาทิ น้ำมันดีเซล ค่าเช่าบ้าน และค่าแต่งผมบุรุษและสตรี
นายพูนพงษ์ กล่าว สำหรับเงินเฟ้อเฉลี่ยไตรมาสแรกของปี 2568 สูงขึ้น 1.08 % ต่ำกว่าคาดการณ์เล็กน้อย เดิมคาดการณ์ไว้ที่ ที่ 1.13 % ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานช่วงไตรมาสแรก เฉลี่ยอยู่ที่ 0.89%
ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อไตรมาส 2 ปี 2568 คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ 1 ประมาณ 0.1-0.2 % ก็จะทำให้เงินเฟ้อไตรมาส 2 อยู่ระหว่าง 0.14-0.15 % โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีผลพอสมควรเนื่องจากราคาน้ำมันในทุกประเภท จะต่ำกว่าไตรมาส 2 ปี 67
สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่ ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง ฐานราคาผักสดและไข่ไก่ในปีก่อนหน้าอยู่ในระดับสูง ขณะที่ในปี 2568 สภาพอากาศเอื้ออำนวยมากกว่า ปี 2567 ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้น
การลดลงของราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลก โดยราคาในปีนี้ต่ำกว่าปีก่อนหน้า จึงส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกัน และ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น ได้แก่ วัตถุดิบต้นน้ำของสินค้าเกษตรบางชนิดราคายังอยู่ระดับสูง โดยเฉพาะพืชสวน เช่น มะพร้าว กาแฟ และปาล์มน้ำมัน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ทั้งกะทิ กาแฟ และน้ำมันพืช และ อาหารสำเร็จรูป โดยเฉพาะอาหารพร้อมทาน ราคายังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีการปรับราคาตามต้นทุนวัตถุดิบบางชนิดที่สูงขึ้น
“สนค.กำลังพิจารณาปรับคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปี เนื่องจากผลของ มาตรการทางภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อปีนี้จะต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 0.3-1.3% แต่คงไม่มาก จึงขอพิจารณาข้อมูลในรายละเอียดอีกครั้ง คาดกว่าจะแถลงตัวเลขใหม่ในเดือนพ.ค.ซึ่งผลกระทบดังกล่าวที่เกิดขึ้น เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จะไม่ลงไปถึงระดับติดลบ ”นายพูนพงษ์ กล่าว
ในส่วนของกลุ่มที่เป็นภาคบริการ ทั้งของภาครัฐและเอกชน กลุ่มนี้ไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ เช่น ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าบริการทางการศึกษา ไม่ได้ส่งผลกระทบ ส่วนของภาคเอกชน เป็นค่าบริการ จะไม่ส่งผลกระทบเช่นกัน
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนก.พ. 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสูงขึ้น 1.08 % ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 22 จาก 130 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว)