"สรุปให้เข้าใจง่าย"กติกา"สหรัฐขึ้นภาษีไทย37%"ยังไม่ใช่ฉากจบ

"สรุปให้เข้าใจง่าย"กติกา"สหรัฐขึ้นภาษีไทย37%"ยังไม่ใช่ฉากจบ

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ทรัมป์ลงนามประกาศคำสั่ง EO กำหนดภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act of 1977 (IEEPA)

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1. Baseline Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการจากทุกประเทศในอัตรา10% โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย. 2568 

2. Individualized Reciprocal Higher Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการเป็นรายประเทศ สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าด้วยสูง โดยไทยถูกกำหนดภาษีในอัตรา36% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. 2568

3. สินค้าที่ไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการ Reciprocal Tariffs นี้: 
(1) สินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 อยู่แล้ว ได้แก่ เหล็ก/อลูมิเนียม 
และรถยนต์/ชิ้นส่วนรถยนต์ 
(2) สินค้าที่ระบุไว้ในเอกสาร Annex II ของ EO ครอบคลุมทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ที่มีความสำคัญ และพลังงาน และ
(3) สินค้าอื่น ๆ ที่อาจถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้มาตรา 232 ในอนาคต

 4. USMCA – อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ( 25 %สำหรับสินค้าทุกรายการ/10 %สำหรับพลังงานและ โพแทช) จะยังคงเป็นไปตามคำสั่ง EO เรื่องปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย/ยาเฟนทานิล โดยสินค้าที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขและเกณฑ์ข้อกำหนดที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีภายใต้ความตกลง USMCA จะไม่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้า ทั้งนี้ ในกรณีที่คำสั่ง EO ดังกล่าวถูกยกเลิก สินค้าที่ไม่เข้าข่ายเงื่อนไขและเกณฑ์ข้อกำหนดตามความตกลง USMCA จะถูกจัดเก็บภาษีต่างตอบแทนในอัตรา 12%

5. Duty-free de minimis: สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐฯ จะยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีตามข้อกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ (duty-free de minimis treatment) ต่อไป

6.การปรับแก้การบังคับใช้มาตรการภายใต้คำสั่งนี้
 (1) กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ  ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ผู้ช่วยปธน.ด้านนโยบายเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคงแห่งชาติ และที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าและการผลิต จะต้องเสนอแนะแนวทางในการใช้มาตรการเพิ่มเติม หากการบังคับใช้มาตรการนี้ ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้ารวม แม้ได้มีการขยายขอบเขตการใช้มาตรการกำหนดอัตราภาษีต่างตอบแทนจากคู่ค้าทางการค้าของสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ
 (2) หากประเทศคู่ค้าใดใช้มาตรการตอบโต้ (Retaliate) สหรัฐโดยการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการใช้มาตรการอื่น ๆ ปธน. อาจพิจารณาเพิ่มหรือขยายขอบเขตการจัดเก็บภาษีภายใต้คำสั่งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 (3) หากประเทศคู่ค้าใดดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญ (Take significant steps to remedy) เพื่อแก้ไขและเยียวยาการค้าที่ไม่เป็นการต่างตอบแทน รวมถึงให้สอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐฯ ในด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ปธน. อาจพิจารณาปรับลด (Decrease) หรือจำกัด (Limit) ขอบเขตภาษีที่จัดเก็บภายใต้คำสั่งนี้
 (4) หากศักยภาพในด้านกำลังการผลิต รวมถึงผลผลิตของสหรัฐฯ ยังคงแย่ลง (Worsen) ปธน. อาจพิจารณาเพิ่มอัตราภาษีภายใต้คำสั่งนี้