ราคาน้ำมันดิบร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ตลาดผวาเศรษฐกิจถดถอย

ราคาน้ำมันดิบร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ตลาดผวาเศรษฐกิจถดถอย

ราคาน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ท่ามกลางความกังวลต่อกำแพงภาษีทรัมป์อาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสฉุด

ซีเอ็นบีซีและบลูมเบิร์ก รายงานภาวะตลาดน้ำมันดิบวันศุกร์(4 เม.ย.)ว่า ราคาน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส

สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2564 โดยส่วนหนึ่งเกิดจากความกังวลว่ามาตรการขึ้นกำแพงภาษีครั้งใหญ่ที่สหรัฐประกาศจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตของสหรัฐ (WTI) ร่วงลงมากกว่า 6% ในวันศุกร์ ทำให้ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 62.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยครั้งหนึ่งราคาน้ำมันดิบตกลงมาต่ำกว่า 61 ดอลลาร์ การร่วงลงครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ร่วงลง 6.6% เมื่อวันพฤหัสบดี

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของโลก ร่วงลง 13% ในช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เหลือเพียงประมาณ 66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้เกิดข้อสงสัยใหม่เกี่ยวกับความพยายามของทรัมป์ในการเพิ่มปริมาณการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลของสหรัฐฯ อย่างจริงจัง และบรรลุถึง "ความโดดเด่นของอุตสาหกรรมพลังงาน" ด้านฝั่งตรงข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก การเทขายครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะช่วยบรรเทาต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นในยุโรป และยังกดดันรัฐผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางอีกด้วย

ราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วนี้เกิดขึ้นในขณะที่อุปสงค์และอุปทานในตลาดพลังงานได้รับผลกระทบ

นักเศรษฐศาสตร์วอลล์สตรีทเผยว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศในสัปดาห์นี้ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น

แนวโน้มเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญต่อราคาน้ำมัน เนื่องจากผู้บริโภคที่เติมน้ำมันในรถยนต์หรือผู้ผลิตสารเคมีที่ใช้พลังงานเป็นวัตถุดิบในการผลิตต่างก็เพิ่มความต้องการน้ำมันดิบ

“ในขณะนี้ เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาทิศทางโดยรวมของสถานการณ์ต่างๆ แต่เราเชื่อว่าสำหรับราคาน้ำมัน แนวโน้มนั้นเป็นไปในทางเดียวอย่างชัดเจน” นาตาชา คาเนวา หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของธนาคารเจพีมอร์แกน กล่าวในบันทึกถึงลูกค้าในวันศุกร์

ในขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจอ่อนแอลง การคาดการณ์อุปทานน้ำมันทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้น

เมื่อวันพฤหัสบดี สมาชิก 8 ประเทศของกลุ่มโอเปกพลัส ตกลงที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบรวมต่อวันเป็น 411,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นมากกว่าและเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

เฮลิมา ครอฟต์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของ RBC Capital Markets กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีในรายการ “Power Lunch” ของซีเอ็นบีซี ว่าการตัดสินใจดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งภายในระหว่างสมาชิกโอเปกพลัส

“ประเทศต่างๆ ที่ผลักดันการตัดสินใจครั้งนี้กำลังบอกว่า ‘ทุกคนคิดว่าเราต้องการน้ำมันราคา 90 ดอลลาร์ เราต้องการแสดงให้คุณเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องมีราคาที่สูงขึ้น เราพร้อมที่จะยอมทนกับราคาที่ลดลงไปสักระยะหนึ่ง’” ครอฟต์กล่าว

จุดยืนทางนโยบายของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านและเวเนซุเอลา ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตามองสำหรับราคาน้ำมันในอนาคต ครอฟต์กล่าวเสริม

แน่นอนว่าราคาน้ำมันที่ลดลงอาจช่วยชดเชยการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าอื่นๆ ที่เกิดจากสงครามการค้าโลกได้ รัฐบาลทรัมป์ชื่นชมการผลิตพลังงานที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ลดลงว่าเป็นหนทางในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงสูงเกินกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐ