รัฐลุยเอนเตอร์เทนต์เมนต์วาระ1 จุลพันธ์ วางกรอบเก็บภาษี 3 ชั้น 

รัฐลุยเอนเตอร์เทนต์เมนต์วาระ1 จุลพันธ์ วางกรอบเก็บภาษี 3 ชั้น 

“จุลพันธ์” มั่นใจ พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ผ่านสภาวาระ 1 เตรียมตั้ง กมธ. 31 คน เฟ้นคนทำงาน รู้จริง ภาพลักษณ์ดี ตั้งเป้าออกกฎหมายเสร็จรัฐบาลนี้ รัฐบาลหน้าลงทุนทันที

KEY

POINTS

  • “จุลพันธ์” มั่นใจ พ.ร.บ.สถานบันเทิง ครบวงจร ผ่านสภาวาระ 1
  • เตรียมตั้ง กมธ. 31 คน เฟ้นคนทำงาน รู้จริง ภาพลักษณ์ดี
  • ตั้งเป้าออกกฎหมายเสร็จรัฐบาลนี้ ตั้งไข่ให้รัฐบาลใหม่เดินหน้าลงทุนทันที
  • เปิดโมเดลเก็บรายได้ภาษี 3 ส่วน GGR-นิติบุคคล-VAT กำหนดความยืดหยุ่นจำนวนใบอนุญาตตามภาวะเศรษฐกิจ 

หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2568 สภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณาวาระที่ 1 วันที่ 9 เม.ย.2568 โดยหากผ่านวาระที่ 1 จะตั้งกรรมาธิการขึ้นเมื่อเพื่อแปรญัตติกฎหมายก่อนที่เข้าสู่วาระที่ 2-3 ในเดือน ก.ค.นี้ โดยรัฐบาลมีเป้าหมายผลักดันกฎหมายออกมาให้ได้ภายในรัฐบาลนี้เพื่อให้เกิดการลงทุนได้จริงภายใน 2-3 ปีข้างหน้า 

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ "เครือเนชั่น" ว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 9 เม.ย.2568 จะพิจารณาในวาระที่ 1 เพื่อรับหลักการร่างกฎหมายก่อนจะปิดสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ โดยจะเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ขึ้นจำนวน 31 คน 

"ผมจะเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ เอง โดยกรรมาธิการทั้ง 31 คน จะมาจากหลายภาคส่วน มีสัดส่วนมาจาก ครม. 9 คน นอกจากนั้นมีสัดส่วนจากพรรคการเมือง นักวิชาการ ส่วนราชการและอาจมีคนนอกเข้ามาร่วม ส่วนโควตากรรมาธิการสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ผมจะคนคัดรายชื่อเองเน้นคนเข้ามาทำงานจริง และได้หารือพรรคร่วมรัฐบาลว่ากรรมาธิการทุกคนต้องมีภาพลักษณ์ดีไม่เข้ามาหาประโยชน์" นายจุลพันธ์ กล่าว 

ทั้งนี้ จำนวนคณะกรรมาธิการฯ 31 คน ถือว่าเหมาะสม เพราะปี 2548 เคยตั้งคณะกรรมาธิการจำนวนมาก และตั้งหลายชุดก่อนหน้านี้ แต่ผ่านกฎหมายออกมาไม่ได้ แต่ครั้งนี้จะคัดเฉพาะผู้ที่ทำงานได้จริงและตั้งตามจำนวนที่จำเป็น

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขั้นตอนการผลักดันร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลเร่งรีบแต่หากรับหลักการกฎหมายในเดือน เม.ย.2568 ก่อนปิดสมัยประชุม จะมีเวลาให้คณะกรรรมาธิการฯ ก่อนเสนอพิจารณาวาระที่ 2-3 เดือน ก.ค.2568 

รวมทั้งรัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันกฎหมายฉบับนี้ และตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรได้ทันรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยหลังจากนี้ต้องมีขั้นตอนการออกกฎหมายลูกที่ใช้เวลาอีกมาก 

นอกจากนี้ การทำให้กฎหมายทั้งหมดแล้วเสร็จในรัฐบาลนี้ คือ การเตรียมความพร้อมของนโยบายนี้ และอาจเปิดประมูลคัดเลือกผู้ได้รับใบอนุญาตได้บางราย เพื่อให้เกิดการลงทุนได้ทันทีในรัฐบาลหน้าไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาล

ชูเครื่องยนต์ใหม่เคลื่อนเศรษฐกิจ 

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า การลงทุนสถานบันเทิงครบวงจร จะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยขณะนี้ต้องโฟกัสส่วนที่ไม่ใช่กาสิโนที่มีเพียง 10% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยร่างกฎหมายออกแบบให้มีการลงทุนกิจกรรม 4 ประเภท รวมกับกาสิโนเป็น 5 ประเภท 

ทั้งนี้ กิจกรรมที่ลงทุนในสถานบันเทิงครบวงจรจะต้องพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานหรือแหล่งท่องเที่ยวที่ไทยขาด เช่น สนามกีฬามาตรฐานขนาดใหญ่ คอนเสิร์ตฮอลล์ สวนน้ำและสวนสนุกระดับโลก ห้างสรรพสินค้าที่มีชอร์ปแบรนด์เนม

สำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับดังกล่าวภาครัฐคาดหวังเก็บภาษีได้มากขึ้น ซึ่งจะมีภาษีทั้งภาษีที่เก็บจากธุรกิจกาสิโนที่กำหนดอัตราภาษีที่สูง โดยหากใช้โมเดลเดียวกับสิงคโปร์จะจัดเก็บภาษีได้ 3 ประเภท ประกอบด้วย

1.ภาษีรายได้ขั้นต้นจากการเล่นพนัน (Gross Gambling Revenue; GGR) ที่สิงคโปร์เก็บจากลูกค้าที่เป็น VIP ในอัตรา 12% และคนทั่วไปจะเก็บ 18% 

2.ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการในสถานบันเทิงครบวงจร

3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งจะได้จากการใช้จ่ายของคนที่เข้าไปท่องเที่ยวใช้จ่ายภายในสถานบันเทิงครบวงจร 

รอผลการศึกษากำหนดจำนวนไลเซ่นส์

สำหรับประเด็นการลงทุนสถานบันเทิงครบวงจรควรมีข้อกำหนดจำนวนใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) ให้ชัดเจนว่าไทยควรมีที่ไลเซ่นส์หรือไม่ โดยยกตัวอย่างสิงคโปร์กำหนดเพียง 2 ไลเซ่นส์ 

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า การกำหนดจำนวนไลเซ่นส์เป็นอำนาจคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร โดยขณะนี้บอกไม่ได้ว่าไทยจะอนุมัติให้มีการลงทุนกี่แห่ง โดยต้องรอผลการศึกษาที่จะทำโดยสำนักงานบริหารสถานบันเทิงครบวงจรที่ตั้งขึ้นมาก่อน 

ส่วนกรณีสิงคโปร์กำหนดเพียง 2 ไลเซ่นส์ เพราะขนาดพื้นที่เล็ก ส่วนไทยต้องรอผลการศึกษาว่าเหมาะสมมีกี่แห่ง โดยต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอนาคตอาจลดจำนวนหรือเพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องมีกรอบความรับผิดชอบที่ชัดเจนของผู้รับใบอนุญาต

ขณะที่การควบคุมให้ลงทุนจริงส่วนอื่นนอกเหนือกาสิโนจะทำผ่านคณะกรรมการและสำนักงาน เช่น กำหนดภายใน 2-3 ปี ต้องสร้างส่วนอื่นให้ครบ หากไม่ทำตามจะพักใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้

ใช้ KYC ยืนยันตัวตน ป้องกันฟอกเงิน 

สำหรับประเด็นเงินฝากที่กำหนดให้คนไทยที่จะเข้าไปเล่นต้องมีบัญชีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท โดยในชั้นกรรมาธิการอาจปรับเปลี่ยน ซึ่งมีหลายหน่วยงานให้ความเห็น เช่น ให้เกณฑ์การยื่นภาษีเงินได้หรือใช้เกณฑ์เครดิตบูโร เพื่อกำหนดไม่ให้ผู้ที่มีหนี้สินพ้นตัวมาเล่นการพนันในกาสิโน 

ทั้งนี้ ในต่างประเทศใช้ระบบการยืนยันตัวตนที่เพิ่มความปลอดภัยทางการเงิน (KYC) ผู้เล่นกาสิโนจะถูกตรวจสอบผ่านระบบที่ชัดเจน ซึ่งป้องกันการฟอกเงิน เงินเข้า-ออก ต้องแจ้งและมีเทคโนโลยีการตรวจสอบ มีกล้องจับตลอดเวลา รวมทั้งมีเทคโนโลยีใหม่ป้องกันการใช้ชิปปลอม ใครแลกชิปคนนั้นต้องเล่นเอง

นอกจากนี้ในคณะกรรมการนโยบายของสถานบันเทิงครบวงจรมีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อยู่ด้วยจะทำให้วางนโยบายในการป้องกันการฟอกเงินตั้งแต่แรก

ย้ำมีกลไกสกัดติดพนัน

ส่วนการแก้ไขเรื่องของปัญหาการติดพนันที่เป็นอีกข้อที่ฝ่ายคัดค้านกังวล รมช.คลัง กล่าวว่า ทุกวันนี้การติดการพนันมีในไทยอยู่แล้ว  โดยมีผู้ลักลอบออกไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้าน 

สำหรับการแก้ไขปัญหานี้มีการพิสูจน์แล้วในสิงคโปร์ว่าเมื่อเปิดเอนเมนต์คอมเพล็กซ์มีประชากรสิงคโปร์เข้าไปเล่นการพนันในกาสิโนสัดส่วน 3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในจำนวนดังกล่าวมีผู้ติดการพนัน 0.1% ซึ่งใช้กลไกตรวจจับไปพฤติกรรมผู้เล่น 

ทั้งนี้ หากมีพฤติกรรมเริ่มแสดงออกถึงอารมณ์ที่รุนแรงที่เกิดจากการเล่นการพนันมีการเชิญให้หยุดเล่น และนำตัวไปรักษา บำบัด ซึ่งแนวทางต่างๆเหล่านี้เราได้กำหนดเป็นเงื่อนไขสำหรับเอกชนที่สนใจเข้ามายื่นประมูลด้วย