‘ศุภวุฒิ‘ ชี้รับมือ ’ภาษีทรัมป์’ ไทยไม่ต้องรีบลดภาษีให้สหรัฐ

‘ศุภวุฒิ’ เผยจุดยืนไทยเจรจาการค้าสหรัฐฯไม่เร่งรีบลดภาษี ระบุการลดภาษีเหมือนกับเอาของฟรีไปให้สหรัฐฯ และไทยไม่มีข้อเสนอที่มหัศจรรย์ไปต่อรองได้
KEY
POINTS
- ‘ศุภวุฒิ’ เผยจุดยืนไทยเจรจาการค้าสหรัฐฯไม่เร่งรีบลดภาษี
- ระบุการลดภาษีเหมือนกับเอาของฟรีไปให้สหรัฐฯ โดยอาจไม่ได้ผลเพราะ
วันนี้ (7 เม.ย.)นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ เปิดเผยในการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ว่านโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯในครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาเพราะเป็นนโยบายที่สหรัฐฯต้องการเปลี่ยนเศรษฐกิจสหรัฐฯจากในอดีตที่ขาดดุลการค้ากับประเทศต่างๆมาเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าและนำรายได้จากภาษีบางส่วนชดเชยการขาดดุลทางการคลังที่มาจากนโยบายการลดภาษีให้คนรวย
โดยแนวคิดของทรัมป์นั้นชัดเจนในเรื่องที่เขาจะเก็บภาษีตอบโต้ โดยมีแนวคิดว่าประเทศที่เกินดุลการค้าเท่ากับเอาเปรียบสหรัฐฯ เช่น ไทยเกินดุลสหรัฐฯ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ก็ทำให้มีการเก็บภาษี 36% และจีนโดนภาษีรวมกว่า 74% แม้แต่อังกฤษที่สหรัฐฯเกินดุลก็ถูกเก็บภาษี 10% เป็นต้น
นอกจากนั้นก่อนหน้าวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมาที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทรัมป์จะขึ้นภาษีอย่างไร ก่อนหน้านั้นไม่ว่าเราจะไปคุยกับใครไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ รมว.คลังของสหรัฐฯหรือสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) เขาจะตอบอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าทรัมป์เคาะอัตราภาษีจริงๆคือว่าสุดท้ายของเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ทีมนโยบายการค้าสหรัฐฯได้คิดยุทธศาสตร์และวิธีการทำงานที่จะมีการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ แนวคิดในเรื่องนี้ ในคณะทำงานที่นายกรัฐบาลตั้งขึ้นที่ทำงานมาตลอด 3 เดือนที่ผ่านมามีการศึกษาดูว่าท่าทีที่ประเทศต่างๆรีบร้อนไปเสนอให้กับสหรัฐฯในขณะนี้คือเหมือนการไปยกของฟรีให้กับสหรัฐฯโดยที่ไม่ได้อะไร ซึ่งไทยเองเราจะไม่รีบร้อนในการลดภาษี แต่จะเก็บกระสุนไว้ต่อรอง ตอนนี้เราต้องมาคิดแล้ววางแผนว่าโลกหลังจากที่ทรัมป์ปรับอัตราภาษีและเปลี่ยนท่าทีการค้าของสหรัฐฯนั้นเราจะทำอย่างไร เรามียุทธศาสตร์อย่างไร ในการรับมือ
“คนใจร้อนให้ไปเจรจากับทรัมป์ เพื่อลดภาษี แต่ประธานาธิบดีทรัมป์นั้นไม่ได้ต้องการลดภาษี เพราะเขาก็บอกกับสื่อว่าประเทศที่จะลดภาษีให้ประเทศนั้นต้องมีข้อเสนอที่ Miracle (มหัศจรรย์) ให้กับเขา ซึ่งประเทศก็ไม่มีอะไรที่เป็นข้อเสนอที่มหัศจรรย์ให้สหรัฐฯ ถ้าไปทำแบบนั้นเดี๋ยวฝ่ายค้านก็จะถล่มว่าเราไปแอบทำข้อตกลงลับ และเราไม่มีหรอกครับ เราเดินสายกลางเพื่อหาทางออกว่าเราจะอยู่กับสหรัฐฯในยุคทรัมป์ใหม่อย่างไร เพราะโลกจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม”นายศุภวุฒิ กล่าว
โดยแนวทางที่คณะทำงานที่มีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีการวางแผนไว้ในเรื่องต่างๆที่จะเจรจากับสหรัฐฯดังนี้
1.ศักยภาพของเราเป็นผู้แปรรูปอาหาร โดยเฉพาะแปรรูปสินค้าเกษตรและส่งออกไปทั่วโลก ดังนั้นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเราก็คือเราจะเจรจานำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯมากขึ้น เกษตรกรของสหรัฐฯเองก็เป็นฐานเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะข้าวโพด กับถั่วเหลือง ที่เราผลิตไม่พอจะเปิดนำเข้าจากสหรัฐฯมากขึ้น
2.การลดภาษีศุลกากรในบางสินค้า ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในข้อเสนอของ USTR ที่เราสามารถลดได้ โดยต้องดูว่าอยู่ในระดับภาษีที่เทียบเคียงแล้วเราลดได้ แต่ไม่ใช่การลดภาษีลงมาทั้งหมด
นอกจากนั้นจะมีการสกัดสินค้าที่อ้างถิ่นกำเนิดว่ามาจากประเทศไทยตรงนี้เราก็ต้องมีความเข้มงวดในการปราบปรามเช่นกัน
3.การนำเข้าสินค้าที่เป็นก๊าซธรรมชาติในโครงการใหม่ที่สหรัฐฯจะลงทุนในโครงการท่อก๊าซธรรมชาติอะลาสก้า เพื่อมาขายในเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ไทยก็อาจจะพิจารณาเข้าไปซื้อ รวมทั้งการนำเข้าก๊าซอีเทนที่เราต้องใช้ ซึ่งเรื่องนี้เท่ากับการพาดบันไดเอาไว้เผื่อว่าสหรัฐฯจะถอยหรือเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายเพราะว่าผลกระทบจากการขึ้นภาษีกระทบสหรัฐฯมาก และหุ้นสหรัฐฯตกมาก เราก็พร้อมเจรจาในจุดที่สหรัฐฯต้องถอยเช่นกัน