ตลาด“อีวีมือสอง"รุ่งหนุนผลิตโตปัจจัยเทคโนโลยีสูง-ราคาถูกลง

ความพยายามส่งเสริมให้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี)ในวงกว้าง เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว กำลังได้รับแรงหนุนใหม่จากทิศทางตลาดอีวีมือสอง
โดย รายงาน Global EV Outlook 2024 Trends in electric cars จัดทำและเผยแพร่โดย องค์การพลังงานระหว่างประเทศ หรือ International Energy Agency : IEA ได้เล่าถึง ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองกำลังเติบโตว่า เมื่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเต็มที่ ก็จะส่งต่อให้ตลาดรถยนต์มือสองมีความสำคัญมากขึ้น เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีอื่นๆ
“ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองกำลังเกิดขึ้น เนื่องจากมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมาจำหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้ใช้รุ่นเก่าก็เปลี่ยนหรืออัปเกรดรถคันใหม่ ทำให้ตลาดรถยนต์มือสองมีความสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้รถยนต์อีวีในตลาดโดยรวมด้วย”
ดังนั้น หากรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ยังคงมีราคาแพง ขณะที่รถยนต์มือสองมีราคาถูกลง ซึ่งเป็นไปเเบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือICE ซึ่งความคึกคักนี้จะเกิดขึ้นทั้งในตลาดเศรษฐกิจกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว
คาดว่าคนยุโรป8ใน10 คนซื้อรถยนต์มือสอง และคาดว่าสัดส่วนนี้สูงขึ้นอีกประมาณ 90% ในกลุ่มรายได้น้อยและปานกลาง เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐที่คาดว่า รถยนต์ที่ขายได้ประมาณ 7 ใน 10 คันเป็นรถยนต์มือสอง และครัวเรือนที่มีรายได้น้อยเพียง 17% เท่านั้นที่ซื้อรถยนต์ใหม่
แม้ก่อนหน้านี้ไม่มียอดขายรถยนต์มือสอง จะมีแต่เพียงยอดขายรถใหม่ แต่จำนวนดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองโดย สหรัฐมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามือสองเพิ่มขึ้น 40% ในปี 2567 เทียบกับปี 2566 แม้จะยังน้อยกว่าตลาด ICE มือสองและคาดว่า ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเติบโตเต็มที่แต่สัญญาณนี้ก็บ่งชี้ถึงศักยภาพในระยะยาวที่มากขึ้นสำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง
นอกจากนี้ด้านการแข่งขันยังพบว่า รถยนต์ไฟฟ้าราคามีแต่จะถูกลง ซึ่งสามารถแข่งขันกับ ICE มือสองได้ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐ รถยนต์ไฟฟ้ามือสองมากกว่าครึ่งหนึ่งมีราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ หรือ รวม 9 แสนบาท และคาดว่าราคาเฉลี่ยจะลดลงอย่างรวดเร็วไปที่ 25,000 ดอลลาร์ หรือ 8 แสนบาท ซึ่งเป็นราคาที่รถยนต์ไฟฟ้ามือสองมีสิทธิได้รับเงินคืนจากรัฐบาลกลาง 4,000 ดอลลาร์ หรือ 1.28 แสนบาท
"ราคาของรถยนต์ Tesla มือสองในสหรัฐลดลงจากกว่า 50,000 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2566 เหลือเพียง 33,000 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2567 ทำให้สามารถแข่งขันกับรถยนต์ SUV มือสองและรุ่นใหม่ๆ อีกหลายรุ่น (ทั้งแบบไฟฟ้าและแบบธรรมดา) ในยุโรป รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่มือสองมีราคาอยู่ระหว่าง 15,000 ถึง 25,000 ยูโร (16,000 ถึง 27,000 ดอลลาร์) และ รถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊กมือสองมีราคาอยู่ที่ประมาณ 30,000 ยูโร (32,000 ดอลลาร์)"
ทั้งนี้ ประเทศในยุโรปบางประเทศยังเสนอเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง เช่น เนเธอร์แลนด์ ให้อยู่ที่่ 2,000 ยูโร ซึ่งเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ในขณะที่เงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์มือสองยังคงเท่าเดิม ส่วนฝรั่งเศส ให้อยู่ที่ 1,000 ยูโร ในจีน รถยนต์ไฟฟ้ามือสองมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 75,000 หยวนในปี 2566 หรือ 3.5 แสนบาท
รายงานระบุอีกว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มูลค่าการขายต่อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในยุโรป มูลค่าการขายต่อรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ที่อายุใช้งาน 12 เดือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2560 -2562 เป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น ราคาที่สูงขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทำให้รถยนต์และแบตเตอรี่สามารถรักษามูลค่าได้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
มูลค่าขายต่อมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามือสองและการมีส่วนสนับสนุนต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบขนส่งทางถนนด้วยไฟฟ้า เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากถูกดึงดูดด้วยความเป็นไปได้ในการขายรถยนต์ของตนต่อหลังจากผ่านไปไม่กี่ปี จึงส่งเสริมความต้องการรุ่นใหม่กว่า
สำหรับประเทศไทย แม้ตลาดอีวีมือสองยังไม่ชัดเจนนัก แต่โครงสร้างรถยนต์อีวีในไทยก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทัั้งด้านการผลิตและการใช้งาน ซึ่งเป็นผลจากมาตรการอุดหนุนของภาครัฐ ข้อมูลจากมติการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 27 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมาระบุว่า มีผู้เข้าร่วมมาตรการ 20 บริษัท (18 แบรนด์) และมียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิรวม 90,694 คัน แบ่งเป็นประเภทรถยนต์ 78,979 คัน และรถจักรยานยนต์ 11,715 คัน ซึ่งมาตรการดังกล่าวช่วยกระตุ้นความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ
โดยในปี 2566 มียอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV ใหม่ 76,739 คัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 6.5 เท่า และยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 21,677 คัน สูงกว่าปีก่อน 1.25 เท่า
ด้านมาตรการส่งเสริมการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และการให้บริการระบบอัดประจุไฟฟ้ารวมเงินลงทุนทั้งสิ้น (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) 77,192 ล้านบาท แบ่งเป็น กิจการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้าBEVที่ได้รับการส่งเสริม 18 โครงการ (17 บริษัท) เงินลงทุนรวม 40,004 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 379,400 คันต่อปี
กิจการผลิตรถจักรยานยนต์BEVได้รับการส่งเสริม 9 โครงการ เงินลงทุนรวม 848 ล้านบาท และกำลังการผลิต 500,550 คันต่อปี กิจการผลิตรถBus & Truck BEVได้รับการส่งเสริม 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 2,200 ล้านบาท กำลังการผลิต 4,835 คันต่อปี กิจการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆเช่น แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ได้รับการส่งเสริม 20 โครงการ เงินลงทุนรวม 6,031 ล้านบาทกิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้รับการส่งเสริม 14 โครงการ เงินลงทุนรวม4,205 ล้านบาท มีการติดตั้งหัวจ่าย 17,743 หัวจ่ายและกิจการผลิตแบตเตอรี่ได้รับการส่งเสริม 39 โครงการ เงินลงทุนรวม23,904 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 23 โครงการ สำหรับการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถ EV กำลังการผลิต 11,681 เมกะวัตต์ชั่วโมง และ 16 โครงการ สำหรับการผลิตแบตเตอรี่ความจุสูงสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ กำลังการผลิต 9,659 เมกะวัตต์ชั่วโมง