“อัทธ์ พิศาลวานิช” ชี้ ไทยเสี่ยงจากผลนโยบายทรัมป์ อัดรัฐบาลช้า

“อัทธ์ พิศาลวานิช” ชี้ทรัมป์ขึ้นภาษีภายใต้ “หลักการ - หลักกู” อัดรัฐบาลล่าช้ารับมือนโยบายทรัมป์ ไทยเตรียมเจอผลกระทบจากการส่งออก สินค้าทะลักเข้าไทย
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญการค้าระหว่างประเทศ กล่าวในการเสวนาโต๊ะกลม (Roundtable) “Trump’s Global Quake: Thailand Survival Strategy” ว่า ที่มาที่ไปของภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มาจากการที่ สหรัฐขาดดุลการค้ามหาศาลถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ 2. มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี โดยทรัมป์ให้ความสำคัญในเรื่องนี้พอๆ กับมาตรการขึ้นภาษี และ 3.อิทธิพลของสินค้าจีนและอิทธิพลเศรษฐกิจของประเทศจีนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยการคำนวณภาษีในครั้งนี้มีทั้งหลักการ และหลักกู ไปพร้อมกับสูตรทางเศรษฐศาสตร์
โดยหลักการก็ใช้สูตรเศรษฐศาสตร์โดยค่าความยืดหยุ่นการนำเข้าสินค้าเข้าสหรัฐ ต่อราคาน้ำเข้าที่ 4 หมายความว่า ถ้าราคานำเข้าลดลง 1% ทำให้การนำเข้า เพิ่มขึ้น 4% ถ้าใช้ 7 แทนที่ 0.25 จะทำให้ภาษีที่เก็บจากไทยเหลือ 10-15% ขณะที่หลักกูคือจะขึ้นเท่าไรอยู่กับตนเอง
“นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วโลกภายใต้หลักเกณฑ์ 2 เรื่อง คือ หลักการ และหลักกู” นายอัทธ์ กล่าว
สำหรับประเทศไทย เท่าที่เห็นในขณะนี้คือ รัฐบาลแอ็กชันช้า ซึ่งเราเจอภาษีถึง 36% ดังนั้นจึงมองว่าทางรอดของไทยคือ 2 ทาง คือ 1. การตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีเหมือนจีน ที่สหรัฐขึ้นภาษีเพิ่ม จีนก็สวนด้วยการขึ้นภาษีเพิ่ม ซึ่งไทยจะกล้าสวนหรือไม่ โดยขณะนี้จีนโดนภาษี 104% ทำให้เห็นว่า 2 มหาอำนาจตอบโต้กัน ดังนั้นเศรษฐกิจโลกจะแย่ 2. การเจรจา (มอบคลาน) เหมือนกับเวียดนามที่ทำอยู่ ขณะนี้ที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยุโรป เริ่มเข้าสู่การเจรจาแล้วแต่ประเทศไทยยังไม่เข้าสู่การเจรจา
จากสถานการณ์ดังกล่าวเมื่อไทยยังไม่เข้าสู่การเจรจาไทยจะได้ผลกระทบจากการส่งสินค้าไทยไปสหรัฐ ก็จะลำบากยากจากภาษีที่ขึ้นถึง 36% และไทยจะเจอกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวซึ่งไม่แน่ใจว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ recession หรือไม่ และไทยจะเจอกับผลกระทบจากห่วงโซ่การผลิต โดยสินค้าหลายตัวของไทยโยงกับสินค้าจีน เมื่อจีนส่งสินค้าไปขายสหรัฐไม่ได้ กระทบต่อการส่งออก ส่งผลให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทย
นายอัทธ์ กล่าวว่า ไทยพึ่งพาตลาดจีนมาก ซึ่งภายใต้สถานการณ์แบบนี้สหรัฐไม่ชอบจีน ซึ่งไทยมีสถานการณ์การสวมสินค้าไทยไปสหรัฐ ขณะที่จีนจะมีการเคลื่อนย้ายการลงทุนไปในประเทศอาเซียน โดยไทยเป็นเป้าหมายแรก แม้มาเลเซีย อินโดนีเซีย จะมีสินค้าเข้าไป แต่รัฐบาลเหล่านี้มีการบริหารจัดการที่ดี มีอำนาจต่อรองกับจีน แต่ไทยมีอะไรต่อรองจากจีนจากสินค้าจีนทะลักเข้าไทยมากจากโรงงานจีนที่อยู่ในไทย โดยเราดีใจกับตัวเลขการลงทุนจีนในไทย แต่การจ้างงาน วิศวกรไทย วัตถุดิบเท่าไร ซึ่งตนไม่มีตัวเลขแต่ขอสรุปว่า ไทยมีจุดเสี่ยงมากภายใต้นโยบายทรัมป์
นายอัทธ์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางลดผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ ในเรื่องของการตอบโต้ตัดออกได้เลย สิ่งที่ทำได้คือ การเจรจา ซึ่งมี 2 ทางคือ ไทยเจรจากับสหรัฐ และใช้กลุ่มอาเซียน โดยตรงมองว่า ไทยต้องเจรจากับสหรัฐโดยตรง ในส่วนแรกสินค้าอุตสาหกรรมที่เราโดนกระทบหนักก็ต้องเจรจาลดผลกระทบ โดยอาจนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในเรื่องวัตถุดิบ นวัตกรรม สารสกัด ขณะที่สินค้าเกษตรควรเปิดนำเข้าบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื้อสัตว์ โดยจะช่วยลดการขาดดุลการค้าสหรัฐได้ นอกจากนี้ในส่วนของการลงทุนไทยควรสนับสนุนให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในสหรัฐในกลุ่มเกษตรอาหาร แปรรูป สุขภาพ โรงแรม ภัตตาคาร ขณะที่ยังมีสินค้าอีกกว่า 1,000 รายการที่ได้ไม่ถูกเก็บภาษีจากสหรัฐ ดังนั้นเราควรพิจารณาและเร่งส่งออก
ส่วนผลกระทบของทรัมป์จะทำให้สหรัฐสู่ recession หรือไม่นั้น มองว่า ยังเร็วไปที่จะประเมิน อย่างไรก็ตามผลของการขึ้นภาษีจีน 10 - 54% จะทำให้สหรัฐ มีรายได้ ประมาณ 2 ล้านล้านสหรัฐภายใต้ฉากทัศน์นี้ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจา ในส่วนของการส่งออกตัวเลขประเมินไว้จะทำให้การส่งออกไทยไปสหรัฐรวมถึงตลาดอื่นๆ ทั่วโลกลดลงประมาณ 7 แสนล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาทในปีนี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์