ส.อ.ท. ขอเจรจาสหรัฐให้เร็ว หวั่นกระทบแรงงานกลุ่มอาหารฯ ตกงาน

ส.อ.ท. ขอเจรจาสหรัฐให้เร็ว หวั่นกระทบแรงงานกลุ่มอาหารฯ ตกงาน

ส.อ.ท. ขอรัฐเจรจาสหรัฐให้เร็ว ลดกระทบภาษีทรัมป์ หวั่นกลุ่มอาหารฯ ได้รับผลกระทบมากทั้งแรงงาน ผู้ประกอบการ SME-สตาร์ตอัป เจาะตลาดสหรัฐ

วันนี้ (9 เม.ย.) ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สื่อในเครือเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และ โพสต์ทูเดย์ ร่วมจัดงานเสวนาโต๊ะกลม “Trump’s Global Quake: Thailand Survival Strategy” โดยมีตัวแทนภาคเอกชน ผู้ผลิตและผู้ส่งออกในประเทศไทย ร่วมพูดคุยในหัวข้อ “The Great Trade War: กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก“

นายเจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแหงประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เป็นมูลค่ากว่า 1.65 ล้านล้านบาท โดยเป็นการส่งออกไปสหรัฐราว 1.6 แสนล้าน คิดเป็น 10% ซึ่งถือว่าสัดส่วนไม่ได้มากนัก และมีแนวโน้มลดลงมาเรื่อยๆ  

อย่างไรก็ดี การที่สหรัฐขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าจากไทย 36% ก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มผู้ผลิตที่มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐ โดยผู้ผลิตรายกลางและรายเล็กส่งออกอาหารที่เป็นโปรดักส์เฉพาะ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารไทย ซึ่งเริ่มเห็นการชะลอสั่งออเดอร์แล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงงานภาคเกษตรและประมงให้ต้องตกงาน

“ผู้ประกอบการไทยที่มีสัดส่วนส่งออกอาหารไปสหรัฐมาก เช่น อาหารฟิวเจอร์ฟู้ด ฟังก์ชันฟู้ด มะพร้าว วุ้นมะพร้าว จะโดนผลกระทบเต็มๆ แทบจะต้องหยุดค้าขาย เพราะห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ในสหรัฐส่งประกาศแจ้งมาเลยว่าขอให้ลดราคาสินค้า 36%”

นายเจริญ กล่าวต่อว่า ไทยจะต้องมีวาทะศิลป์ในการไปเจรจากับสหรัฐ และรัฐบาลจะต้องต่อรองให้เร็ว โดยทีมเจรจาต้องเรียกให้นักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในสหรัฐให้ช่วยเจรจาด้วย โดยใช้มืออาชีพหรือล็อบบี้ยิสต์เข้ามาช่วย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทไทยไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง ที่ลงทุนในสหรัฐ

"แผนที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐมากขึ้นอย่างเดียวอาจไม่พอที่จะใช้ต่อรองได้ เพราะไทยเกินดุลสหรัฐอยู่อีกมากและไม่สามารถเพิ่มดุลการค้าได้ทันที รัฐบาลจะต้องคิดเผื่อว่าจะมีแพ็คเกจอะไรเพื่อใช้เจรจาเพิ่ม เพราะยิ่งรอนาน แรงงานไทยจะยิ่งได้รับผลกระทบ"

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นน่ากังวลหากคู่แข่งทางตรงอย่างเวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย หากเจรจาได้ภาษีที่ต่ำกว่า ไทยจะถูกแย่งตลาดในทันที โดยเฉพาะเวียดนามที่ส่งออกสินค้าใกล้เคียงกันมาก

ขณะที่เรื่องสินค้าจากจีนสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก สำหรับอุตสาหกรรมอาหารนั้นไม่ง่าย จึงไม่กังวลมากนัก เพราะจะต้องลงทุนเปิดโรงงานในประเทศไทย และอีกอย่างหนึ่งคือไทยมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะการแปรรูปเพื่อส่งออก

ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล 7 ข้อ ได้แก่ 1.สนับสนุนการปรับปรุงประสิทธิภาพธุรกิจ 2.ปฏิรูปกฎหมายที่ซ้ำซ้อน 3.ปฏิรูปเรื่องภาษีที่เป็นอุปสรรค รวมทั้งต้องมีการชดเชยให้ผู้ผลิตภายในประเทศ 

4.เร่งการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (EU) และแคนาดา 5.เจรจากับกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ยุโรปและออสเตรเลีย ในการเป็นแนวร่วมการค้า 

6.ตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือกลุ่ม SME และสตาร์ตอัป ที่ได้รับผลกระทบ 7.เจรจาให้เร็ว โดยให้มืออาชีพและผู้มีประสบการณ์เข้ามาช่วย และตัดสินใจเร็ว

“ความเห็นผม ภาษีทรัมป์ครั้งนี้จะกระทบหนักมาก แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าลากยาวผู้ประกอบการรายเล็กจะค่อยๆ ล้มลง”

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ทั้งอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทั้งผู้เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ประมง และในอุตสาหกรรมแปรรูปที่ยังพึ่งพาแรงงานสูง เครื่องจักรทดแทนไม่ได้ทั้งหมด 

นอกจากนี้ สินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ไทยส่งออก 1.65 ล้านล้านบาท ครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ข้าว น้ำตาล อีกครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าแปรรูปที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งตรงส่วนนี้จะต้องเพิ่มสัดส่วมมากขึ้น