รองปธ.หอการค้าไทยในจีน แนะไทยปรับโครงสร้างภาคการผลิต

รองปธ.หอการค้าไทยในจีน ชี้ สหรัฐ-จีน ปิดช่องเจรจา อาจลามเป็นปัญหาใหญ่ แนะไทยใช้โอกาสทรัมป์ขึ้นภาษีปรับโครงสร้างภาคการผลิต ลดพึ่งพาการนำเข้า พร้อมขยายตลาดใหม่
นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน กล่าวในงานสัมมนาแบบประชุมโต๊ะกลม Roundtable "Trump's Global Quake ในหัวข้อ The Great Trade War : กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก ซึ่งจัดโดยสื่อในเครือเนชั่น ทั้ง ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่จีนเจอปัญหาเศรษฐกิจทั้งสงครามการค้ารอบแรก โควิด และการขึ้นภาษีของทรัมป์ ซึ่งจีนมีการปรับตัวและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของจีน เพื่อรับมือกับปัญหา ล่าสุดรัฐบาลจีนออกสมุดปกขาว สาระสำคัญอย่างหนึ่ง คือ การเรียกร้องให้สหรัฐทบทวนการปรับขึ้นภาษีจีน และหันเข้าเข้าสู่โต๊ะการเจรจา
แต่ล่าสุดท่าทีสหรัฐยังวางจุดยืนแข็งปิดประตูเจรจา ซึ่งไม่เหมือนในช่วงอดีตที่ผ่านมาที่สหรัฐและจีนจะมีเวทีหารือกันในวงเล็กก่อนที่จะเสนอแนวทางให้กับผู้นำ 2 ประเทศให้ตัดสินใจ แต่สถานการณ์แบบนี้สร้างความกังวลว่าจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นไปกว่านี้เอง
การที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษีสูงในหลายประเทศ โดยมองเรื่องการขาดการค้าเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้บนพื้นฐานที่แท้จริง เพราะการที่นำเข้าสินค้ามาก สะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน อีกทั้งเมื่อขาดดุลการค้ากับประเทศใดมากก็อาจใช้การเจรจาต่อรองหรือใช้เวทีดับบลิวทีโอที่สหรัฐก่อตั้งมากับมือ แต่กลับใช้วิธีการปรับขึ้นภาษีรายประเทศ
นอกจากนี้สหรัฐยังไม่ได้มองเรื่องของการที่ได้ดุลการค้ากับประเทศอื่นในเรื่องของภาคบริการ ซึ่งสหรัฐได้ดุลการค้าเรื่องลิขสิทธิ์ การขายสิทธิบัตร ประเมินว่าสหรัฐได้ดุลการค้าประเภทนี้ปีละ 3 แสนล้านดอลลาร์ บางส่วนกลับไปสหรัฐ บางส่วนถูกซ่อนไว้ ไม่ให้ขาดดุล ซึ่งส่วนนี้ไม่เป็นธรรมกับหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย
นายไพจิตร กล่าวว่า อีกส่วนหนึ่งที่ทรัมป์พูดถึง คือ การเอากรีนแลนด์เป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ เพราะขณะนี้ จีน รัสเซีย ยุโรป พัฒนารถเจาะน้ำแข็งซึ่งสามารถไปทั่วโลก ซึ่งสหรัฐกังวลว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพความมั่นคง นอกจากนี้ทรัมป์ยังทุ่มงบประมาณพัฒนาอู่ต่อเรือโดยเฉพาะเรือรบ เตรียมเรียกเก็บค่าเซอร์ชาร์จเรือเข้าเทียบท่าที่ไม่ใช่เรือของสหรัฐ โดยฉพาะจีน ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่
อย่างไรก็ตามขณะนี้หลายประเทศต่อสายเจรจากับทรัมป์ หากว่า สรัฐชนะเกมแรกแล้วไม่หยุด อาจจะเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก พร้อมขยายวงไปยังเรื่องอื่น เช่น การลงทุน โดยเก็บภาษีเพิ่มขี้น และหากว่าประเทศอื่นใช้โมเดลนี้บ้าง จะเป็นอย่างไร ซึ่งเราต้องพิจารณาให้รอบด้าน ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป
นายไพจิตร กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยต้องปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การปรับโครงสร้างการผลิตอย่างจริงจัง ทำให้อยู่ในกลไกลตลาดเสรีมากขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้าในส่วนสินค้าที่มีศักยภาพ ปรับโครงสร้างตลาดที่กระจุกตัวในประเทศที่พัฒนาแล้ว ให้ขยายตัวไปยังกลุ่มประเทศอื่น เช่น กลุ่มประเทศแอฟริกา ลาตินอเมริกา เร่งรัดการบังคับใช้กฏหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดการกับปัญหานอมินี การจัดตั้งกองทุนในการปรับตัวสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต การปลุกกระแสรักชาติ
นอกจากนี้รัฐบาลควรใช้เวทีดับบลิวทีโอในการเปิดโต๊ะการเจรจา ใช้เวทีอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อนรองของอาเซียน รวมทั้งตั้งมทีมเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ดูแฉพาะเรื่องการค้าเพียงอย่างเดียวแต่ต้องคลอบคลุมทุกมิติเพื่อผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ