ราคาน้ำมันดิบทรงตัว หลังโอเปกปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมัน

ซีเอ็นบีซี รายงานภาวะตลาดน้ำมันโลกวันจันทร์ (14 เม.ย.) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาไทยว่า ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ทรงตัวเมื่อวันจันทร์ หลังโอเปกปรับลดคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์สำหรับปีนี้จากมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ

ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 3 เซ็นต์ ปิดที่ 61.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 12 เซ็นต์ ปิดที่ 64.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ปัจจุบัน โอเปก คาดว่าอุปสงค์น้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้และปีหน้า ซึ่งลดลงประมาณ 150,000 บาร์เรลต่อวันจากประมาณการครั้งก่อน ตามรายงานรายเดือนของกลุ่มโอเปก

ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบ 2% ในช่วงต้นเซสชั่นของการซื้อขาย หลังทรัมป์ตัดสินใจยกเว้นสินค้าเทคโนโลยีสำคัญ เช่น สมาร์ทโฟน จากการเก็บภาษีสินค้าจากจีน ประธานาธิบดีได้ขึ้นอัตราภาษีสินค้าจีน 145% ขณะที่ระงับการจัดเก็บภาษีที่สูงขึ้นสำหรับประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้เจรจากันได้

ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่นายคริส ไรท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ทรัมป์อาจหยุดการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ สหรัฐฯ และอิหร่านได้หารือกันที่ประเทศโอมานเมื่อวันเสาร์ และจะพบกันอีกครั้งในวันที่ 19 เมษายน

ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลงมากกว่า 14% และเบรนท์ลดลงมากกว่า 13% ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ทรัมป์ประกาศแผนภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการตัดสินใจของกลุ่มโอเปกพลัส ที่จะเร่งการผลิตตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

เฮลิมา ครอฟต์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของ RBC Capital Markets กล่าวกับรายการ “The Exchange” ของทีวีซีเอ็นบีซี เมื่อวันจันทร์ว่า “ตอนนี้ตลาดน้ำมันได้รับผลกระทบหนักเป็นสองเท่า”

คาดราคาน้ำมันดิบต่ำกว่า 70 เหรียญ

ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ คาดว่าราคาน้ำมันเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต(WTI) และเบรนท์จะอยู่ที่ 59 ดอลลาร์และ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลตามลำดับ ตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ ตามบันทึกที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์