'เวิลด์แบงก์' แนะ 3 เครื่องยนต์ศก.ไทย หลุดกับดักรายได้ปานกลาง

'เวิลด์แบงก์' แนะ 3 เครื่องยนต์ศก.ไทย หลุดกับดักรายได้ปานกลาง

'เวิลด์แบงก์' ชี้ "การท่องเที่ยวยั่งยืน-เศรษฐกิจสร้างสรรค์-ธุรกิจผู้สูงอายุ" 3 โกรทเอนจินใหม่ที่จะช่วยดันไทยหลุดกับดักรายได้ปานกลาง พร้อมแนะเพิ่มการลงทุนด้านเทคฯ -สร้างนวัตกรรม-พัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อรักษาอัตราการเติบโต 5% ต่อปีใน 13 ปีข้างหน้าเพื่อไปสู่เป้าหมายประเทศรายได้สูง

“ไทย” เป็นประเทศในอาเซียนที่มีระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ (เกือบจะ) ที่สุดในกลุ่ม ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยปี 2567 สูงกว่าเพียงเมียนมาประเทศเดียวซึ่งกำลังเผชิญกับทั้งปัญหาภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวและปัญหาการเมืองภายในประเทศ

ช่วงที่ผ่านมา หลายสำนักวิจัยและนักวิเคราะห์ทั้งในและต่างประเทศต่างเสนอให้ไทยต้องหา “เครื่องจักรใหม่ทางเศรษฐกิจ” แทนภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ใช้มาตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ 1960-1970 เพื่อที่จะผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ในทำนองเดียวกัน “เมลินดา กูด” ผู้อำนวยการ (ผอ.) ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทยและเมียนมา ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงพื้นที่การแข่งขันใหม่ที่ประเทศไทยอาจพัฒนาไปสู่เครื่องจักรใหม่ทางเศรษฐกิจได้ ประกอบด้วย 3 ประเด็นด้วยกัน

\'เวิลด์แบงก์\' แนะ 3 เครื่องยนต์ศก.ไทย หลุดกับดักรายได้ปานกลาง

1.   การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนคุณภาพสูงขึ้น (Sustainable Tourism) : ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เห็นการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว แต่รัฐบาลควรพิจารณาว่าการลงทุนใดสามารถดึงดูดการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศสูงขึ้นมากกว่าการท่องเที่ยวแบบปกติ

2.    เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) : คือการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์บนพื้นฐานองค์ความรู้ ทรัพย์สินทางปัญญา และงานวิจัย โดยบูรณาการมิติทางวัฒนธรรม รากฐานประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาสั่งสมของสังคม ตลอดจนเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจ โดยรัฐบาลไทยควรคิดอย่างเป็นองค์รวมเกี่ยวกับการดึงดูดอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างเป็นระบบ

3.   เศรษฐกิจสำหรับผู้สูงอายุ (Silver Economy): ประเทศไทยถือเป็นประเทศแนวหน้าในด้านการดูแลสุขภาพประเด็นนี้สร้างโอกาสทั้งสำหรับการดูแลประชากรไทยที่กำลังสูงอายุขึ้นและดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศได้เช่นเดียวกัน

ระดับการลงทุนของไทยล้าหลัง ‘อินโด-เวียดนาม’

เมลินดากล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีเรื่องราวความสำเร็จด้านการพัฒนาที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนจากประเทศรายได้ต่ำเป็นเศรษฐกิจรายได้ปานกลางระดับสูง แม้ว่าการฟื้นตัวของไทยหลังโควิดยังคงล้าหลังกลุ่มอาเซียน 5 โดยรวม แต่เศรษฐกิจในภาพรวมก็กำลังดีขึ้น โดยเวิลด์แบงก์กำลังคาดการณ์การเติบโตในปี 2025 ที่ประมาณ 2.9%

ในระยะสั้น การท่องเที่ยวของไทยก็กำลังฟื้นตัว มีการเพิ่มขึ้นของการลงทุน และการบริโภคของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น บางส่วนมาจากการกระตุ้นทางการคลัง

อย่างไรก็ตาม เมลินดามองว่า เศรษฐกิจไทยก็ยังมีความท้าทายที่สำคัญนั้นคือผลิตภาพและระดับการลงทุนของไทยไม่ได้ก้าวทันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม

\'เวิลด์แบงก์\' แนะ 3 เครื่องยนต์ศก.ไทย หลุดกับดักรายได้ปานกลาง

ดังนั้นประเทศไทยต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้อัตราการลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มสำคัญระดับโลก เช่น การแตกตัวของการค้า (Trade Fragmentation) และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือ “การเพิ่มการลงทุน”ประเทศไทยต้องพิจารณาว่าอุตสาหกรรมใดที่ควรให้ความสำคัญสำหรับการลงทุน “เทคโนโลยีดิจิทัล” เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ โดยรัฐบาลต้องเปิดการแข่งขันและสร้างสนามที่เท่าเทียมกันที่ดึงดูดเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากต่างประเทศในขณะที่กระตุ้นการเติบโตของผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และผู้ประกอบการรุ่นใหม่

“ประเทศไทยยังต้องลงทุนในการผลิตขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน 30% ของคนไทยทำงานในภาคเกษตรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า ซึ่งมีส่วนร่วมเพียง 10% ของ จีดีพี ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์สำหรับเรื่องนี้ด้วยแนวคิดเช่นครัวของโลกแต่จำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพในการเกษตรที่มีมูลค่าสูงขึ้นและการผลิต”

คำแนะนำ ‘เวิลด์แบงก์’ ดันไทยสู่ประเทศรายได้สูง

เมื่อถามถึงคำแนะนำในการยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เป็นประเทศรายได้สูง เมลินดากล่าวว่า ไทยจะต้องรักษาอัตราการเติบโตประจำปี 5% ในช่วง 13 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมโลกปัจจุบัน แต่หากไทยปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งสามข้อต่อไปนี้ก็อาจผลักดันจากเติบโตของเศรษฐกิจได้

ประการแรก ประเทศไทยต้องส่งเสริมนวัตกรรมและการแข่งขันในเศรษฐกิจอย่างที่กล่าวไปข้างต้นเรื่องการเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือการสร้างพื้นที่สำหรับการลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะในภาคส่วนที่มีศักยภาพการเติบโตมากที่สุด (บริการ การผลิตขั้นสูง อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี) และการสนับสนุนนวัตกรไทยที่ต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศ

ประการที่สอง ประเทศไทยควรเน้นพื้นที่การคลังไปที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพฯ (ซึ่งคิดเป็น 30% ของเศรษฐกิจ) แต่ยังรวมถึงเมืองรองที่อาจกลายเป็นจุดตั้งต้นการเติบโตในอนาคตด้วย

ประการที่สาม ประเทศไทยต้องมุ่งเน้นการสร้างงานที่ดีขึ้นสำหรับพลเมืองโดยช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะและให้ตาข่ายความปลอดภัย (Safety Net) ที่ช่วยให้เกิดการเคลื่อนย้ายทางพื้นที่และอาชีพอย่างปลอดภัย จากการเกษตรมูลค่าต่ำไปสู่การเกษตรมูลค่าสูงขึ้น และจากทักษะต่ำไปสู่งานที่ใช้ทักษะสูงขึ้น

\'เวิลด์แบงก์\' แนะ 3 เครื่องยนต์ศก.ไทย หลุดกับดักรายได้ปานกลาง

เศรษฐกิจไทยกับ ‘วิกฤติต้มกบ’

นอกจากใน ในช่วงที่ผ่านมา นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านมองว่าประเทศไทยคล้ายกับอยู่ใน “วิกฤตต้มกบ” หรือ Boiling Frog Trap ซึ่งเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยเหมือนกบที่อยู่ในน้ำร้อน แต่ด้วยหนังที่หนาจึงทำให้ไม่รู้สึกตัวและมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อใกล้จะเสียชีวิตแล้ว

ในประเด็นนี้ เมลินดามองต่างออกไป ว่า ประเทศไทยไม่ได้กำลังอยู่ใน “น้ำร้อน” แต่กำลังเติบโตและฟื้นตัวจากโควิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพียงแต่มี “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” บางอย่างที่รัฐบาลต้องเร่งให้การแก้ไขเท่านั้น

ส่วนเมื่อถามถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ผอ.เวิลด์แบงก์ประเทศไทยให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ได้ฟื้นตัวเร็วเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านหลังโควิด แต่เรากำลังเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ความแตกต่างหลักคือเวียดนามและอินโดนีเซียกำลังดึงดูดระดับการลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งยกระดับพื้นฐานการเติบโตของพวกเขาในแต่ละปี