รัฐบาลปรับแผนเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เตรียม 3 แผนรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’

รัฐบาลปรับแผนเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เตรียม 3 แผนรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’

ภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจไทย "คลัง" หั่นจีดีพี 28 เม.ย.68 นี้ คาดลดลง 1% รัฐบาลปรับใหญ่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง สกัดเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค ดันเงินลงทุนรัฐต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • ภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจไทย "คลัง" คิวแรกหั่นจีดีพี 28 เม.ย.68 นี้ คาดหั่นลง 1% จากสมมติฐานเดิม  
  • รัฐบาลเตรียมปรับใหญ่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง สกัดเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค 
  • ทบทวนแจกเงิน เน้นการลงทุนควิกวิน ดันเงินลงทุนรัฐ จัดมาตรการช่วยเฉพาะกลุ่ม วางกรอบงบปี 69 รับมือทรัมป์ต่อเนื่อง
  • กรณีผลกระทบต่อภาคส่งออกมาก จ่อขยายเพดานหนี้ทะลุ 70% กระตุ้นการลงทุนเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ 

การประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ สร้างผลกระทบต่อการค้า และเศรษฐกิจโลก โดยไทยถูกภาษีส่วนนี้ 36% ซึ่งมาตรการนี้กระทบกับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนำมาสู่การปรับประมาณการจีดีพี และปรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีด้วย

ที่ผ่านมารัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประเมินเศรษฐกิจปี 2568 จะขยายตัว 3% เป็นการประเมินก่อนที่จะเจอผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ โดยจะใช้การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นพายุหมุนเศรษฐกิจ แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทำให้รัฐบาลต้องปรับแนวทางการบริหารเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2568

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐจะเห็นผลกระทบชัดเจนช่วงครึ่งปีหลัง โดยกระทบภาคส่งออกตั้งแต่ไตรมาส 2 เพราะเริ่มเห็นผลกระทบต่อคำสั่งซื้อที่ชะลอตัวลง

ทั้งนี้ มาตรการภาษีของสหรัฐกระทบเศรษฐกิจ และการค้าของโลก ทำให้การค้าโลกหดตัว และส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย โดยกระทรวงการคลังใช้ข้อมูลใกล้เคียงกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดว่าจะกระทบจีดีพี 1% จากสมมติฐานเดิม

รัฐบาลปรับแผนเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง เตรียม 3 แผนรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’

สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่เหมือนกับผลกระทบช่วงโควิด-19 เพราะช่วงโควิด-19 ปิดเมือง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักหมด ขณะที่ปัจจุบันกระทบการส่งออก และภาคการผลิต แต่กิจกรรมเศรษฐกิจยังดำเนินได้ ดังนั้นการช่วยเหลือที่กำลังออกแบบมาตรการจะมุ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ เช่น เอสเอ็มอี

นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สศค.กล่าวว่า นโยบายภาษีของทรัมป์ นอกจากใช้มาตรการทางภาษี แต่จะมุ่งดึงการผลิตกลับสหรัฐมากที่สุด เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันเพิ่มขึ้นจาก 2 พันล้านดอลลาร์ เป็น 3 พันล้านดอลลาร์ และมีหนี้สาธารณะสูงมาก 36 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 120% ของจีดีพี

ทั้งนี้ ผลที่เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐขึ้นภาษีสูงมากทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดย สศค.คาดว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจาก 3.2% เหลือ 2.8% และประเทศที่พึ่งการส่งออกอย่างไทยได้รับผลกระทบมาก ซึ่งปี 2568 อาจเห็นจีดีพีติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกันได้ ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) โดย สศค.จะแถลงตัวเลขภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 1 ในวันที่ 28 เม.ย.68 นี้

ภาครัฐจ่อปรับจีดีพีรับผลกระทบ

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า การประมาณเศรษฐกิจไทยปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าหมาย 2.3-3.3% ตามการคาดการณ์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งยังไม่รวมผลกระทบจากภาษีของสหรัฐ

ทั้งนี้ เมื่อไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่ม 36% แม้จะเลื่อนการบังคับใช้ไป 90 วัน แต่สมมติฐานเศรษฐกิจต้องปรับเปลี่ยน เพราะต้องรวมสมมติฐานการขึ้นภาษี เพราะกรณีที่การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐได้ผล แต่ไทยจะถูกขึ้นภาษีกรณีฐานที่ทรัมป์ประกาศไว้ที่ 10%

รวมทั้ง สศช.ได้ส่งความเห็นมายังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าอาจกระทบแผนจัดทำงบประมาณรัฐ เพราะการจัดทำงบประมาณปี 2569 อยู่บนสมมติฐานเศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.3-3.3% ขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องจาก 2.5% ที่ขยายตัวในปี 2567 แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก และมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ 

ในขณะที่แรงกดดันด้านการคลังอยู่เกณฑ์สูง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นเร็วกว่าประมาณการในแผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งกำหนดอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี และหากจีดีพีในปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ต้องปรับแผนการคลังระยะปานกลาง

รัฐบาลทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

แหล่งข่าว กล่าวว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วงที่เหลือของปี 2568 ต้องปรับให้สอดคล้องสถานการณ์ ซึ่งเดิมเตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงิน 10,000 บาทต่อเนื่องจากเฟสที่ 3 ที่จะแจกให้เยาวชน 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน วงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท  ต้องทบทวนใหม่ โดยวงเงินที่เหลือในส่วนของงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.3-1.5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่กระทบการส่งออกมาก รัฐบาลจึงต้องทบทวนแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ภาครัฐมีบทบาทใช้จ่ายมากขึ้นช่วงเศรษฐกิจโลก และการส่งออกชะลอตัว เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค แบ่งเป็น 3 แผน ได้แก่ 

1.กระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลงทุนที่เน้นโครงการขนาดเล็กที่กระจายลงทุนทั่วประเทศ เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงที่การส่งออกได้รับผลกระทบ โดยนอกจากเม็ดเงิน 1.3-1.5 แสนล้านบาท ที่อยู่ในงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ยังมีงบลงทุนของปีงบประมาณ 2569 ที่ต้องเพิ่มสัดส่วนโครงการการลงทุนภาครัฐ

ทั้งนี้ อาจลดสัดส่วนงบกลางลง ซึ่งแนวทางการกระตุ้นการลงทุนลักษณะนี้เป็นแนวทางที่รัฐบาลหลายประเทศใช้เพื่อรับมือวิกฤติเศรษฐกิจ และไทยเคยใช้ช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และวิกฤติโควิด ซึ่งภาครัฐต้องมีบทบาทช่วงที่เครื่องยนต์การส่งออกถูกกระทบ 

2.ผลักดันเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 3-4 ของปี ผ่านกลไกงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณรายงานรัฐบาลว่ามีโครงการอยู่ระหว่างผูกพันงบประมาณ และทยอยจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งรัฐบาลวางแผนให้เม็ดเงินลงระบบเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง โดยเป็นช่วงที่ผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์จะมีผลชัดเจน ซึ่งคาดว่ามีเม็ดเงิน 1.5-1.6 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยพยุงเศรษฐกิจช่วงดังกล่าว

เล็งขยายเพดานหนี้สาธารณะดันลงทุนขนาดใหญ่

3.กรณีผลกระทบจากภาษีทรัมป์มีผลต่อการส่งออก และการท่องเที่ยวมาก และกระทบระยะยาวจำเป็นที่ภาครัฐจะกระตุ้นการลงทุนในประเทศเพิ่ม 

ทั้งนี้ ใช้รูปแบบการกระตุ้นการลงทุนผ่านโครงการขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา เช่น  โครงการรถไฟทางคู่เฟส 2.8 แสนล้านบาท โครงการทางด่วนกระทู้-ป่าตอง วงเงินลงทุน 1.46 หมื่นล้าน โครงการรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 20.5 กิโลเมตร วงเงิน 15,176 ล้านบาท

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์