ส.อ.ท. ชี้สหรัฐเลื่อนเจรจาไทย กระแสปรับ ครม. ไม่กระทบ - ยังมีเวลา

ส.อ.ท. ชี้สหรัฐเลื่อนเจรจาไทย กระแสปรับ ครม. ไม่กระทบ - ยังมีเวลา

ส.อ.ท. ชี้สหรัฐเลื่อนเจรจาภาษีไทย - กระแสเปลี่ยน ครม. ไม่กระทบความเชื่อมั่น เผยยังมีเวลา สหรัฐอาจมองไทยไม่ใช่ปัญหาหลักต้องเร่งคุย เชื่อ "คลัง-พาณิชย์" เตรียมแผนไว้ดี "แผ่นดินไหว" ฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ลดลง หวังรัฐเร่งเยียวยา

นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วย ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสายงานเศรษฐกิจ และวิชาการ ร่วมเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 91.8 ปรับตัวลดลง จาก 93.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และอาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) กระทบต่อความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว และส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ

สำหรับการเจรจาที่ไม่เป็นไปตามแผนเดิมนั้น ในมุมเอกชนมองอีกมุมคือ ปัญหาของไทยอาจจะไม่ใช่ปัญหาสำคัญของสหรัฐ หากไทยได้รับคิวแรกที่เจรจา ก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐที่ต้องเร่งหารือ ซึ่งไทยยังมีเวลา เพราะยังมีอินโนเวชั่นที่ไทยยังมีซัพพลายที่ต้องเจรจาเพิ่มเติม ทำให้เราอาจมีโอกาสเจรจามากขึ้น 

ส่วนกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะกังวลในเรื่องของการเจรจาภาษีสหรัฐหรือไม่นั้น นายอภิชิต กล่าวว่า ในส่วนภาคการเมืองกับราชการที่มีหน้าที่เจรจาอยู่แล้ว จึงต้องแยกส่วนกัน ซึ่งการเมืองอาจจะกระทบบ้าง วันนี้ทั่วโลกให้ความสนใจกับการปรับภาษีนำเข้าศุลกากรที่ประเทศไทยจะโดนขึ้นที่ 36% ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ และเมื่อเทียบในภูมิภาคเดียวกันกับประเทศที่ผลิตสินค้าเดียวกัน อย่างเวียดนามที่โดนถึง 46% ไทยก็อาจจะมีแต้มต่อ ดังนั้น ในช่วงฝุ่นตลบก็ต้องรอดูก่อน 

"เรายังไม่ได้มองถึงขนาดที่ไม่สามารถหารือกันได้ ไม่ได้มองนั้น เพราะทีมเจรจาหลักทั้ง 2 ท่าน โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีความเข้มแข็ง และพยายามทำแผนเจรจาไว้เป็นอย่างดีแล้ว" นายอภิชิต กล่าว

มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียม ในอัตรา 25% (เริ่ม 12 มีนาคม 2568) อาจส่งผลให้การส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดหลักชะลอตัวลง โดยในปี 2567 ไทยมีการส่งออกเหล็ก และอะลูมิเนียม คิดเป็น 18.16% และ 13.29% ของการส่งออกทั้งหมด ภาคท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากนักท่องเที่ยวในกลุ่มตลาดหลักที่ลดลงโดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวจีน (-44.92% YoY) และมาเลเซีย (-16.57% YoY) ลดลงจากความกังวลด้านความปลอดภัย

และการเข้าสู่ช่วงถือศีลอด ด้านยอดส่งออกรถยนต์ลดลง จากการชะลอคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าเพื่อรอความชัดเจนในนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยในเดือนกุมภาพันธ์  2568 ยอดการส่งออกลดลง 8.34% (YoY) กระทบอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ ชิ้นส่วน และอะไหล่ยานยนต์ รวมไปถึงกำลังซื้อในภูมิภาคยังคงเปราะบาง จากแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะข้าว อ้อย และมันสำปะหลังส่งผลต่อการใช้จ่ายในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ในเดือนมีนาคม ยังคงมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (เกณฑ์ LTV) ส่งผลดีต่อคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง ทางคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดภาระค่าพลังงานลง 50 สตางค์/ลิตร ในกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยมีการปรับลดราคาในสองช่วง ได้แก่ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 2 ในวันที่ 4 เมษายน 2568 และการจัดงานมอเตอร์โชว์ (26 มีนาคม - 6 เมษายน 2568) ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศได้

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,357 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนมีนาคม 2568 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 57.3% เศรษฐกิจโลก 53.4% และสถานการณ์การเมืองในประเทศ 43.6% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 31.9% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 30.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 18.3%

ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 95.7 ลดลงจาก 97.6 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากผู้ประกอบยังคงห่วงกังวลในเรื่อง มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ของสหรัฐ เริ่มวันที่ 2 เมษายน 2568 กระทบอุตสาหกรรมการส่งออกยานยนต์ รวมถึงชิ้นส่วน และอะไหล่ยานยนต์ของไทย อีกทั้ง มาตรการตอบโต้ทางภาษี (Reciprocal Tariff) กับทุกประเทศที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 2 เมษายน 2568 ที่กระทบภาคการส่งออกของไทย

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และมีส่วนช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ (เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ มาตรการเที่ยวคนละครึ่งและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทเฟส 3 คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภค และการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ  
1.  เสนอให้ภาครัฐบูรณาการความร่วมมือในการจัดทำแผนรับมือเหตุแผ่นดินไหว และมีระบบการตรวจสอบความปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งเร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ลดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
2.  เสนอให้ภาครัฐเร่งเปิดตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพรองรับสินค้าไทยเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าเช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา เป็นต้น รวมทั้งเร่งเจรจาความร่วมมือ FTA Thai-EU เพื่อสร้างโอกาสในการส่งออก
3.  เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมในประเทศไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve และ New S-Curve) เช่น มาตรการทางภาษี เงินอุดหนุนในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ การ Upskill และ Reskill แรงงาน รวมทั้งการปรับลดค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น

 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์