มองสถานการณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ป่วนโลก แล้วย้อนมองตน

มองสถานการณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ป่วนโลก แล้วย้อนมองตน

เดือนเม.ย.นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ ได้สร้างความปั่นป่วนเหนือความคาดหมายให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยของเรา

ป่วนแรก เกิดขึ้นเมื่อมีการออกประกาศอัตราภาษีนำเข้าที่จะใช้กับแต่ละประเทศ ส่งผลให้ตลาดเงินตลาดทุนผันผวนอย่างมากมาย จนกระทั่งนำไปสู่ ป่วนที่สอง คือการประกาศเลื่อนการบังคับใช้อัตราภาษีที่ประกาศนั้นออกไป 90 วัน โดยจะเปิดให้มีการเจรจาเป็นรายประเทศ เป็น 90 วันของความไม่แน่นอนซึ่งเป็นของแสลงสำหรับเศรษฐกิจ และคงคาดเดาได้ว่าหลัง 90 วันไปแล้ว น่าจะยากที่จะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งกันทุกภาคส่วน ในระหว่างที่เขียนบทความนี้ ผู้บริหารบ้านเมืองกำลังอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการรับมือต่อสถานการณ์และประสานการเจรจากันอย่างเข้มข้น ผู้เขียนจะขอชวนสำรวจผลกระทบในด้านต่างๆ ต่อสุขภาพเศรษฐกิจไทย

องค์การการค้าโลก หรือ WTO เพิ่งออกรายงาน Global Trade Outlook and Statistics 2025 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยประมาณการว่าใน ปี 2025 ปริมาณการค้าโลกจะขยายตัว 2.7%  ต่ำกว่า 2.9% ในปีก่อนหน้า โดย WTO ได้วิเคราะห์ว่า หากมีการเก็บอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่ประกาศออกมาจริงตามนั้น จะส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกลดลงไป 0.6% ในปี 2025 ในขณะที่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในช่วง 90 วันของการขยายเวลานั้น จะส่งผลให้ปริมาณการค้าโลกลดลงไปอีก0.8% รวมแล้วทั้งปี 2025 นี้ ความปั่นป่วนจากนโยบายภาษีของทรัมป์อาจทำให้อัตราการเติบโตของปริมาณการค้าสินค้าโลกหายไปถึง 1.5%เลยทีเดียว

เป็นที่ทราบกันดีว่ามูลค่าการส่งออกของโลก เกือบครึ่งหนึ่งเป็นการส่งออกที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Global Supply Chain) โดยกลุ่มประเทศอาเซียนมีการส่งออกในห่วงโซ่อุปทานสูงเป็นที่ 2 รองจากสหภาพยุโรป หรือ อียู 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคอาเซียนเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของห่วงโซ่อุปทานสินค้าโลก คือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ผ่านบริษัทข้ามชาติต่างๆ การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก ทำให้การส่งออกขยายตัวได้ดี เศรษฐกิจเติบโต เกิดการจ้างงานมากขึ้น เกิดการสะสมความรู้และเทคโนโลยี นำไปสู่รายได้ที่สูงขึ้น จึงอาจมองได้ว่าความคาดหวังประการหนึ่งของสหรัฐในการใช้นโยบายอัตราภาษีตอบโต้ คือการปรับเปลี่ยนระบบห่วงโซ่อุปทานโลก สิ่งที่น่ากังวลคือ ‘อาเซียน’ ยังมีสถานะเป็นข้อต่อสำคัญของห่วงโซ่อุปทานกับประเทศจีนด้วย ดังนั้น จึงคาดหมายได้ว่าไทยเองอาจยังคงได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อยหลังครบกำหนดช่วงผ่อนผัน 90 วันไปแล้ว

ข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งจากรายงาน Asian Development Outlook 2025 ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) คือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศเอเชียรายได้สูง มีการส่งออกไปสหรัฐมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบข้อมูลปี 2019 และ 2023 

สำหรับประเทศไทย ตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงล่าสุด ระบุว่าในปี 2024 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐประมาณ 18.3% และส่งออกไปยังอาเซียนประมาณ 23% โดยรายงานของเอดีบีประมาณการไว้ว่าในปี 2025 และ 2026 เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียไม่รวมจีนจะเติบโตในอัตรา 5.0% และ 5.1%ตามลำดับ แต่หากมีการใช้อัตราภาษีตอบโต้กันไปมาภายหลังระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันดังกล่าว จะทำให้อัตราดังกล่าวลดลง 0.2% และ 0.8% ตามลำดับ จะเห็นว่าในปีนี้ผลกระทบจะยังไม่สูงมากนัก เพราะยังเป็นจังหวะของการชะลอดูเหตุการณ์ โดยผลกระทบอย่างชัดเจนจะเกิดขึ้นในปีหน้า

จะว่าไปแล้ว การตั้งกำแพงภาษีสูงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่โลกเรามีบทเรียนของการปรับตัวและรับมือมาแล้ว แต่ความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เกิดในวงกว้างต่างหากที่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้า ผลกระทบทางตรงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือการที่ปริมาณการค้าโลกชะลอตัวจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงจากกำแพงภาษี ส่งผลให้กิจกรรมการผลิตชะลอตัว รายได้ลดต่ำลง 

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางอ้อม กล่าวคือ กำลังการผลิตของจีนจากเดิมก็ ‘เกิน’ อยู่แล้ว เมื่อส่งออกไปยังสหรัฐไม่คุ้ม ก็ต้องระบายสินค้าไปยังตลาดอื่น ย่อมซ้ำเติมการล้นทะลักเข้ามาของสินค้าจีนราคาถูก ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่สามารถรับมือกับการเข้ามาอย่างมากมายของสินค้าราคาถูกจากจีนได้เท่าไรนัก ในฉากทัศน์เช่นนี้ ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คงหนีไม่พ้นผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม หรือ SME ไทย ทั้งที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าส่งออกและที่เป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทเดียวกับสินค้าจีน

ที่สุดแล้ว ปัญหาหนักจะอยู่ที่ ‘รายได้’ เห็นได้จากการที่องค์กรระหว่างประเทศและหน่วยงานด้านเศรษฐกิจทั้งหลาย ต่างปรับลดประมาณการจีดีพีซึ่งก็คือรายได้ของประเทศลง ผู้เขียนขอชวนมองลงมาที่ภาพเล็กๆ กว่านั้น นั่นคือ เมื่อผู้ประกอบการขายของได้น้อยลง รายได้ของกิจการลดลงก็ต้องลดค่าใช้จ่าย กระทบกับการจ้างงาน กระทบกับรายได้ของผู้คน เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย มองไปก็เห็นปัญหาสภาพคล่องอยู่ข้างหน้า มองเห็นปัญหาหนี้สินอยู่ข้างหน้า หากยังสามารถก่อหนี้และได้มาซึ่งสินเชื่อได้อยู่ ก็เรื่องหนึ่ง แต่เกรงว่าสินเชื่อก็ไม่สามารถจะเข้าถึงกันง่ายๆ ในภาวะเช่นนี้เสียแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสั่นคลอนไม่เพียงแต่ตึกรามบ้านช่อง แต่ยังเริ่มเห็นรอยปริร้าวของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ตลอดจนภาพสะท้อนปัญหาคอร์รัปชันซึ่งสั่นคลอนความน่าเชื่อถือภาครัฐและการลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย

ยามที่ผู้อ่านได้อ่านบทความนี้ เราคงได้ข่าวคราวกันแล้วว่าทีมเจรจาของไทย ประสบความสำเร็จอย่างไรบ้างในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐ แต่นั่นก็เป็นเพียง ’ก้าวที่หนึ่ง’ ของการรับมือกับพายุทางเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวขึ้น …หนทางของการพยุงตัวและก้าวเดินไปข้างหน้าให้ได้ ดูเหมือนจะยังอีกยาว