ม.หอการค้าไทย เผย แรงงานไทยยังแบกหนี้ 4.3 แสนบาทต่อครัวเรือน

ม.หอการค้าไทย เผย แรงงานไทยยังแบกหนี้ 4.3 แสนบาทต่อครัวเรือน

ม.หอการค้าไทย เผย วันแรงงาน ปี 68 คึกคัก เงินสะพัด 2,185 ล้านบาท ขยายตัว 3.2 %  ขณะที่แรงงานยังมีหนี้ท่วม 4.3 แสนบาทต่อครัวเรือน กังวลปรับค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ กลัวตกงาน แรงงานต่างด้าวทะลัก  ราคาสินค้าพุ่ง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจสถานภาพแรงงานไทย กรณีศึกษาผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน จำนวน 1,250 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 19-25 เม.ย. 2568 ว่า  สถานภาพแรงงานไทยปีนี้ดูดีขึ้น แม้แรงงานไทยในปี 68 จะมีหนี้สินเฉลี่ย  432,318 บาท ขยายตัว 25.5 % แยกเป็น หนี้ในระบบ 82.9 %  หนี้นอกระบบ 17.1 %  

ทำให้ครัวเรือนแรงงานไทยต้องผ่อนชำระหนี้เฉลี่ยเดือนละ 8,407 บาท แยกเป็นหนี้ในระบบ 7,858 บาทและนอกระบบ 1,956 บาท ซึ่งถือว่าปีนี้แรงงานไทยผ่อนชำระหนี้น้อยกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 9,200 บาท  สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยใช้จ่ายเท่ากับรายได้ที่ได้รับ ส่วนหนึ่งได้เงินจากภาครัฐผ่านโครงการแจกเงินหมื่น

ขณะที่แรงงานไทยมีการออมมากขึ้นเฉลี่ย 38.6 % จากปี 67 ที่มีการออม 33.8 %  ซึ่งแรงงานไม่ค่อยก่อหนี้เพิ่มเนื่องจากมองว่า เศรษฐกิจไม่ดี อย่างไรก็ตาม แรงงานยังมีความกังวลต่อความไม่มั่นคงต่องานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และกว่า 30% มองโอกาสตกงานระดับปานกลางถึงมากที่สุด

สำหรับพฤติกรรมการใช้จ่ายในวันแรงงงาน 1 พ.ค.68 ผลสำรวจพบว่า น่าจะคึกคักกว่าปีที่แล้วเนื่องจากมีวันหยุดยาวต่อเนื่อง ตั้งแต่วัน 1 พ.ค.ถึงวัน 5 พ.ค.รวม 5 วัน โดยกิจกรรมส่วนใหญ่จะซื้อของ ทานอาหารนอกบ้าน ท่องเที่ยว  สังสรรค์ ส่งผลทำให้มีการใช้จ่ายในช่วงวันแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่2,890บาทต่อคน ทำให้วันแรงงานปีนี้ยอดเงินสะพัดอยู่ที่ 2,185 ล้านบาท ขยายตัว 3.2 %  จากปีก่อนขยายตัวเพียง 2.4%

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า  สำหรับการปรับค่าจ้างแรงงาน 400 บาททั่วประเทศตามนโยบายของรัฐบาลนั้น  โดยจะมีการประชุมไตรภาคีในเดือนพ.ค. ซึ่งจะปรับขึ้นจากปัจจุบัน 7-10% ตามแต่ละที่พื้นที่ ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่มีความกังวลเพราะจะมีผลต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น นายจ้างหันใช้เครื่องจักรและแรงงานต่างด้าวมาแทน อาจมีผลเร่งการว่างงานเพิ่ม

ประกอบกับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐเพิ่มภาษีนำเข้าที่เริ่มแล้ว 10%  รวมทั้งมาตราภาษีตอบโต้นำเข้าอีก 36% ที่เลื่อนออกไปซึ่งไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร จะทำให้เศรษฐกิจโลกซบเซา การส่งออกไทยลดลง โดยหากมีการปรับขึ้นค่าแรง 400 ทั่วประเทศก็จะทำให้ผู้ประกอบการมีภาระมากขึ้น

“การปรับค่าจ้างงานเป็น 400 บาท ประกอบกับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐเพิ่มภาษีนำเข้าที่เริ่มแล้ว 10% จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหายไป 0.5-1.0 % หากไทยถูกปรับเพิ่มภาษีตอบโต้นำเข้าอีก 36% ยิ่งกระทบหนักต่อเศรษฐกิจไทยหายไป 1.5-2.0% ซึ่งจีดีพีหายไป 1% มีผลกระทบต่ออัตราว่างงานเพิ่ม 0.1-0.2%  เป็นอย่างน้อย หากเศรษฐกิจไทยกระทบก็จะทำให้การว่างงานมากขึ้นและหากขึ้นค่าแรงปรับขึ้น 5-10 % จะเป็นตัวแร่งให้นายจ้างเลิกจ้าง ใช้เครื่องจักรทดแทน เป็นอุปสรรคต่อแรงงาน  ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างรายวันควรยึดมติไตรภาคี เพราะสอดคล้องกับที่นายจ้างและลูกค้าได้หารือกันไว้ ” นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ศูนย์พยากรณ์ฯยังมองเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวประมาณ 2%   โดยมีปัจจัยกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ 2.0 ซึ่งการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ประเทศใด รวมถึงไทย น่าจะมีความชัดเจนปลายพ.ค.-มิ.ย. แต่มีความเป็นไปได้ที่จะชะลอออกไป โดยแต่ละประเทศอยู่ในระหว่างการเจรจากับสหรัฐ

แต่หากสหรัฐเดินหน้าขึ้นภาษีแบบตอบโต้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยลดลง  1.5-2.0 %  ซึ่งเห็นด้วยที่คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายลง เพื่อพยุงเศรษฐกิจและลดต้นทุนผู้ประกอบการ อีกทั้งเงินเฟ้อก็อยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่งจะกระตุกเศรษฐกิจไทยได้เล็กน้อย แต่หากรอไปถึงมิ.ย.ก็อาจจะช้าไป ส่วนแนวคิดรัฐบาลเตรียมกู้เงินเพิ่ม 5 แสนล้านบาท จะใช้ให้คุ้มค่า อยากให้เน้นใช้เพื่อการพัฒนาและจ้างงานในระดับท้องถิ่น ออกมาตรการจูงใจผ่านอสังหาฯ ท่องเที่ยว ลดต้นทุน และไม่ควรใช้มาตรการเงินโอน