รบจนตายหมดป้อม... เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ | เรือรบ เมืองมั่น
ก่อนหน้าที่รัสเซียจะรุกรานยูเครนเมื่อ 24 ก.พ.65 Mariupol ในการรับรู้ของสังคมโลกเป็นเพียงเมืองใหญ่อันดับที่ 11 ของยูเครน มีความสำคัญก็จริงแต่ก็ยังชื่อดังไม่เท่าเมืองท่าริมทะเลดำอย่าง Odesa หรือเมืองในเขต Donbas ที่รบแบ่งแยกดินแดนกันมานานหลายปีแล้ว
แต่เมื่อเกิดสงคราม Mariupol กลับกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สุด (นอกเหนือจากกรุงคีฟเมืองหลวงที่ถ้ายึดได้ประเทศยูเครนล่มทันที) เพราะเป็นจุดที่เชื่อมแคว้น Crimea ในทะเลดำที่รัสเซียผนวกตั้งแต่ปี 2014 กับเขตดอนบาสส่วนที่รัสเซียร่วมกับกบฏที่ตั้งเป็นสาธารณรัฐใหม่
หากกลายเป็นผืนเดียวกันทั้งผืนภายใต้การควบคุมของรัสเซีย รัสเซียจะต่อเชื่อมภาคตะวันออกเฉียงใต้ของตนได้หมดเพราะควบคุมทะเล Azov ได้ การส่งกำลังบำรุงจากทะเลดำไปรัสเซียตะวันตกจะไหลลื่น
มาริอูโปลที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอาซอฟ จึงเป็นจุดที่รัสเซียต้องยึดให้ได้ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ถมศพกันเข้าไป
บทความชิ้นนี้ไม่ได้กล่าวถึงการต่อสู้อย่างยิบตาของกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของยูเครนที่มีมากว่า ๒ เดือน จนหลงเหลือกำลังราวพันเศษ ต้องซุ่มซ่อนอยู่ใต้ที่มั่นโรงงานเหล็ก Azovstahl ขณะที่ส่วนอื่นๆ ของเมืองพินาศสิ้นและอยู่ในกำมือของกองทัพรัสเซียไปแล้ว
ขณะที่เขียนอยู่นี้ก็ไม่ทราบว่า สุดท้ายชะตากรรมของพวกเขาและพลเรือนชาวยูเครนที่หลบอยู่ด้วยกันจะเป็นอย่างไร
แต่ก็ให้ห่วงว่าถ้าหากไม่มี Safe Passage คือการยอมเปิดทางเพื่อมนุษยธรรมให้พวกเขาออกเดินทางจากฐานที่มั่นโดยสวัสดิภาพแล้ว โศกนาฏกรรมหมู่อาจตามมา
บทความชิ้นนี้จะเล่าเรื่องให้อดีตของเหตุการณ์ที่เคยเกิดคล้าย ๆ อย่างนี้ในซึกโลกด้านอื่น คือการสู้ไม่เลิกจนตายกันหมดป้อม
การเปิดเส้นทางมนุษยธรรมให้ศัตรูและครอบครัวอพยพออกจากพื้นที่มั่นไปที่อื่น แล้วฝ่ายบุกที่เป็นฝ่ายชนะจะเข้ายึดที่มั่นนั้นแทนเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยใจที่เปิดกว้างของฝ่ายบุก
เพราะต้องประเมินชัดเจนแล้วว่าถ้าไม่ยอมทำเช่นนี้ ฝ่ายรับจะสู้จนตัวตายหมด ซึ่งอาจดีในแง่ของการไม่มีศัตรูในพื้นที่อีกต่อไป แต่ข้อเสียคือฝ่ายตนอาจสูญเสียอย่างหนักไปด้วย และฝ่ายรับก็มักจะทำลายสิ่งอำนวยประโยชน์ทุกอย่างของที่มั่นนั้นให้เสียไปทำนองให้ยึดได้ไปแต่ปถพีเปล่า ๆ
เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่เป็น Safe Passage คือการยึดเมือง Jerusalem เมื่อปี 1187 ที่ Saladin ขุนศึกชาวมุสลิมผู้พิชิตตกลงกับ Balian von Ibelin นักรบครูเสดของฝ่ายคริสเตียน ให้ฝ่ายหลังอพยพนักรบและพลเรือนส่วนหนึ่งประมาณหมื่นคนออกไปจากเมืองโดยปลอดภัย โดยแลกกับทองคำ
แต่ก็ยังมีคนอีกนับหมื่นต้องถูกขายเป็นทาส เหตุผลเบื้องหลังการยอมทำตามข้อตกลงของซาลาดินคือ เบเลงขู่จะทำลายศาสนสถานของชาวมุสลิมในเมืองเยรูซาเล็มให้หมด และสังหารเชลยศึกที่เขาจับตัวไว้หากผู้ชนะไม่ยอมเปิดทางให้
แต่เหตุการณ์ในที่อื่นที่จะเล่าต่อไปนี้ฝ่ายรับไม่มีทั้งทรัพย์สินมีค่า ของศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา หรือเชลยศึกที่ฝ่ายบุกต้องคำนึงถึง อีกทั้งฝ่ายบุกมีปัจจัยเอื้ออำนาจต่อการล้อมที่มั่นข้าศึกเพียงพอ
เช่น ควบคุมเส้นทางส่งกำลังบำรุงไว้อย่างสมบูรณ์ หรือผู้นำไม่มีธุระอื่นจนต้องจำกัดเวลาการล้อม จึงสามารถปิดล้อมป้อมค่ายของศัตรูจนแทบจะอดตาย และนำไปสู่การฆ่าตัวตายทั้งป้อม
เช่น ศึก Masada ค.ศ. 74 ที่กบฏชาวยิวก่อการลุกฮือขึ้นปลดแอกดินแดน Judea ออกจากการเป็นขี้ข้าอาณาจักรโรมัน ตอนนั้นกองทัพโรมันล้อมป้อมมาซาดาที่มั่นสุดท้ายของพวกเขาห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 50 กม.นานร่วม 3 ปีจนพวกเขาขาดอาหาร จึงตัดสินใจกินยาพิษตายไป 960 คน เหลือเด็กและผู้หญิงเพียง 7 คนเมื่อตอนทหารโรมันรุกเข้าป้อมได้
ทุกวันนี้มาซาดาถือเป็นสถานที่รวมจิตใจของชาติอิสราเอล ทหารเกณฑ์ผลัดใหม่ทุกคนต้องไปรวมตัวรำลึกสาบานธงกันที่นั่นทุกปี
เหตุการณ์แบบนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มี ตอนที่กองทัพดัทช์ เจ้าอาณานิคมบุกเข้าตีอาณาจักรต่าง ๆ ของชาวพื้นเมืองบนเกาะบาหลีในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แน่นอนว่าชาวเกาะสู้ไม่ได้ แต่แทนที่จะยอมแพ้ กษัตริย์พื้นเมืองกลับทำพิธีที่เรียกว่า Puputan กันหลายแคว้น นั่นคือราชาของแคว้นนำลูกเมียออกไป ฆ่าตัวตายหมู่ ต่อหน้าศัตรู
ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 1906 หน้าพระราชวังกรุง Denpasar โดยราชาแห่งบาหลี แต่งชุดขาวประดับธงทิวนำครอบครัวและข้าราชบริพารออกมารำกริชหน้ากองทัพฮอลแลนด์ จ้วงแทงกันเองจนตายนับพันศพ
นอกเหนือจากการฆ่าตัวตาย การรบจนถูกฆ่าตายหมดทั้งนักรบและชาวเมืองนั้นมีในบันทึกประวัติศาสตร์ เมื่อปี 1568 อาณาจักรโมกุลที่ครองอินเดียเหนืออยู่เวลานั้นไม่พอใจอาณาจักร Rajastan ของพวกเจ้า Rajputs ที่ท้าทายอำนาจ จึงบุกตีทุกแคว้นย่อย พวกราชปุตรก็สู้เต็มที่ เพราะถือว่าตัวเป็นชาตินักรบ
ที่สู้หนักสุดก็คือแคว้น Mewar ป้อม Chittorgarh เป็นป้อมขนาดยักษ์กั้นกลางระหว่างวังของเมวะกับศัตรู ตอนนั้นกษัตริย์เมวะถูกขอร้องให้อพยพหนีออกไปก่อน เหลือทหารกล้าอาสารักษาป้อมอยู่ 8,000 นายกับชาวเมืองอีกสามหมื่นคน
พระเจ้า Akbar มหาราชแห่งโมกุลล้อมเมืองอยู่ 58 วันจึงสามารถขุดอุโมงค์ไปวางระเบิดถล่มฐานรากกำแพงป้อมแตก สามารถบุกเข้าป้อมไปสังหารฝ่ายต่อต้านทุกคน
สุดท้ายฝ่ายรับศึกที่มาริอูโปลจะกลายเป็นแบบใดกัน....