‘เงินสกุลคริปโท’ แม้แต่... ‘Stablecoin’ ยังผันผวนสูง
เมื่อดูราคาของเงินสกุลคริปโทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดโควิด เกิดเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น ตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่าง Dow Jones หรือ NASDAQ ร่วงลงมา เราก็มักจะเห็นราคาเงินสกุลคริปโทต่างๆ ร่วงตาม ไม่ได้เป็นอิสระจริงอย่างที่คิด
ก่อนหน้านี้หลายคนบอกว่าเงินสกุลคริปโทมีความเป็นอิสระไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับของ ธนาคารกลาง และเชื่อว่าถ้าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจเงินสกุลคริปโทก็คงไม่มีผลกระทบมากนักและสามารถเอาตัวรอดได้ แต่เมื่อดูราคาของเงินสกุลคริปโทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดโควิด เกิดเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น ตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่าง Dow Jones หรือ NASDAQ ร่วงลงมา เราก็มักจะเห็นราคาเงินสกุลคริปโทต่างๆ ร่วงตาม ไม่ได้เป็นอิสระจริงอย่างที่คิด
ล่าสุดเมื่อธนาคารกลางสหรัฐประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% อันมีผลทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงไป ก็จะเห็นได้ว่าเงินสกุลคริปโทอย่างบิตคอยน์ร่วงลงมาเหลือเพียง 30,000 กว่าดอลลาร์ หรือตกลงไปมากกว่า 50% ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา เช่นเดียวกันเงินสกุลคริปโทต่างๆ ที่พากันกอดคอมีมูลค่าร่วงลงมาตามบิตคอยน์
แต่ที่หลายคนอาจแปลกใจก็คือ เงินสกุลคริปโท UST ที่ติดอันดับสิบของสกุลเงินคริปโทฯ ในแง่ของมูลค่าตลาดรวมที่มีค่า 18,600 ล้านดอลลาร์ ในบางช่วงตกลงมาถึง 70% ทั้งนี้ UST เป็น Stablecoin ที่ใหญ่เป็นอันดับสามรองจาก USDT และ USDC ซึ่งไม่ควรมีความผันผวนมากนัก และต้องตรึงราคาให้เท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) กล่าวคือ 1 UST ควรมีค่าเท่ากับ 1 USD ตลอดเวลา กลับมีมูลค่าเหลือเพียง 0.3 USD ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่ราคาจะกลับมาที่ 0.8 USD ขณะเขียนบทความนี้ ซึ่งถือว่าลดลงไปอย่างมากผิดวิสัยของ Stablecoin อันดับต้นๆ
โดยทั่วไป Stablecoin จะถูกผูกกับสินทรัพย์ที่อ้างอิงในโลกการเงินทั่วไปอย่าง เงินดอลลาร์สหรัฐหรือทองคำ ทั้งนี้ประโยชน์ชอง Stablecoin ประการหนึ่งในโลกของคริปโทคือ จะใช้เพื่อแลกเปลี่ยนเงินสกุลคริปโทต่างๆ ที่อาจมีความผันผวนสูง โดยโยกมาเก็บไว้ใน Stablecoin ซึ่งควรจะมีมูลค่าคงที่เท่ากับดอลลาร์สหรัฐโดยไม่จำเป็นต้องแลกเป็นสกุลเงินสด (Fiat) กลับไปกลับมา อีกทั้งยังสามารถนำ Stablecoin เหล่านี้ไปลงทุนต่อใน DeFi ในระหว่างที่พักเงินไว้เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะดีกว่าการฝากเงินในสถาบันการเงินปกติ
คำถามคือ ทำไม Stablecoin อย่าง UST ถึงหลุดราคาออกมาได้มากถึงเพียงนี้ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจประเภทของ Stablecoin ต่างๆ ในเงินสกุลคริปโท ก่อนว่ามีอยู่ 4 ประเภทหลักตามวิธีการค้ำประกันของสินทรัพย์ คือ
1.Fiat-backed คือ Stablecoin ที่ผูกมูลค่าไว้กับสกุลเงินสด เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ ตัวอย่างเช่น USDT หรือ USDC ที่ผู้ผลิตเหรียญเหล่านี้จะนำเงินไปฝากไว้ในธนาคารให้มีจำนวนที่เท่ากับจำนวนเหรียญที่ออกมาขาย แต่ข้อเสียของเหรียญประเภทนี้คือยากที่จะตรวจสอบได้ว่าผู้ผลิตเหรียญมีมูลค่าสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินสดที่ถูกต้องตามจำนวนที่ควรเป็นหรือไม่
2.Commodity-backed คือ Stablecoin ที่ผูกมูลค่าไว้กับสินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินสด เช่นทองคำ น้ำมัน หรือแม้แต่หุ้น ตัวอย่างเช่น Paxos Gold (PAXG) แต่เหรียญประเภทนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
3.Cryptocurrency-backed คือ Stablecoin ที่ผูกมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกัน ทั้งนี้มูลค่าเหรียญจะถูกทำให้คงที่ด้วยการใช้ Smart contact โดยไม่ต้องมีคนกลางคอยควบคุมแบบสองประเภทแรก ซึ่งผู้ใช้งานเหรียญประเภทนี้จะต้องใส่เงินสกุลคริปโทอื่นที่มีมูลค่าสูงกว่า 1.5-2 เท่ามาค้ำประกัน ตัวอย่างเช่น DAI ที่ทำงานอยู่บน Ethereum แต่ข้อเสียของเหรียญประเภทนี้คือมูลค่าของเงินสกุลคริปโทที่นำมาค้ำอาจมีความผันผวนเช่นกัน
4.Algorithm-based คือ Stablecoin ที่ไม่ได้ผูกมูลค่าสินทรัพย์ใดๆ เลย แต่จะใช้ Smart contact มาควบคุมปริมาณของเหรียญในตลาด ถ้าช่วงใดเหรียญมีราคาต่ำเกินไป ตัว Smart contact ก็จะลดปริมาณเหรียญที่อยู่ในตลาด และถ้าช่วงใดมีราคาสูงเกินไปก็จะเพิ่มปริมาณเหรียญขึ้นมา เงินสกุล UST จัดว่าเป็นเหรียญประเภทนี้
UST เป็น Stablecoin ที่ทำงานบนโปรโตคอล Terra มีสกุลเงินคริปโทคู่กันที่ออกไว้คือ LUNA จะทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันของ UST โดยเมื่อ UST มีราคามากกว่า 1 ดอลลาร์ โปรโตคอลก็จะเผา LUNA และเพิ่ม UST แต่เมื่อมีราคาน้อยกว่า 1 ดอลลาร์โปรโตคอลก็จะทำงานในทางกลับกัน
แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดความไม่มั่นใจหรือที่ภาษาของนักลงทุนเงินสกุลคริปโทเรียกว่า FUD (Fear, Uncertainty และ Doubt) ในเหรียญ UST จึงถูกถอนออกมา ประกอบกับแพลตฟอร์ม Anchor Protocol ซึ่งเสนอผลตอบแทนระดับสูงสำหรับเงินฝากที่เป็น UST มีการลดลงของจำนวนเงินฝาก จึงทำให้ UST หลุดการตรึงมูลค่า
และเมื่อมูลค่าของ UST ลดลงก็มีผลทำให้เงินสกุล LUNA ที่คู่กันตกลงมาอย่างมาก จากที่เคยเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดติดอันดับเก้าเป็นปริมาณเงิน 25,000 ล้านเหรียญเมื่อสัปดาห์ก่อน ในขณะที่เขียนบทความนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเหรียญลดลงจาก 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 LUNA เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วเหลือต่ำกว่าหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ คือตกลงไปมากกว่า 95% ภายในไม่กี่วัน
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการลดลงของเงินสกุลคริปโทต่างๆ มีผลกระทบกับคนที่ลงทุนในตลาดคริปโทเป็นมูลค่ามหาศาล แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เหรียญที่เราเคยคาดว่าไม่น่าจะมีความผันผวน บางครั้งก็อาจเกิดความผันผวนอย่างมากและทำให้คนที่พักเงินไว้ต้องสูญเสียเงินไป และข้อสำคัญสิ่งที่คาดว่า Smart contact จะช่วยตัดคนกลางออก และระบบจะจัดการกันเองก็อาจไม่เป็นอย่างคิด
คงต้องดูกันว่าทิศทางของ UST และ LUNA จะเป็นอย่างไร ราคาจะกลับมาได้หรือไม่ แต่บทเรียนที่สำคัญจากกรณีนี้คือ ผู้ที่จะเข้ามาเล่นในตลาดคริปโทจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ดีพอ เพราะแม้แต่ Stablecoin ก็ยังมีเหรียญประเภทที่แตกต่างกันและอาจไม่เสถียรก็เป็นได้ และทำให้เราสูญเสีญเงินไปอย่างที่ไม่คาดคิด