“ทักษิณ-ก้าวไกล” ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
คอลัมน์ "มังกรซ่อนพยัคฆ์" โดยประชา บูรพาวิถี / “ทักษิณ-ก้าวไกล” ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน
ศึกฝ่ายประชาธิปไตย นักรบสายตรง “ทักษิณ” งัดข้อพรรคก้าวไกลไม่เลิกรา เฉพาะประเด็นอุดมการณ์ประชาธิปไตย ฝ่ายหนึ่งยึดแบบไทย ไม่สุดโต่ง อีกฝ่ายหนึ่งปักธงเสรีนิยมจ๋า
“ทักษิณ” หลุดปากจับมือก้าวไกล แก้เกมหาร 500 ยังไม่ทันข้ามวัน กองเชียร์สองสี ตีกันยับในโซเชียล ขณะที่เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันไม่ใช่พรรคปาร์ตี้ลิสต์ และไม่ได้มองแค่เกมคณิตศาสตร์การเมือง
ค่ำวันอังคารที่ 5 ก.ค.2565 ทักษิณ ชินวัตร ตอบคำถามนักข่าวในแคร์คลับเฮาส์เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และพรรคร่วมรัฐบาล พลิกเกมเอาหาร 500 แทนหาร 100
ทักษิณตอบทันทีตามสไตล์คิดเร็ว ปากเร็ว “สมมติว่าถ้าหาร 500 นะ ก้าวไกลก็จะปาร์ตี้ลิสต์เยอะ แต่ถ้าหาร 100 เพื่อไทยก็จะได้เยอะ ดังนั้นไม่ว่าจะหาร 100 หรือ 500 เพื่อไทยบวกก้าวไกลก็ 300 กว่าแล้ว ไหนจะพรรคเสรีรวมไทย ก็จะได้ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม พรรคประชาชาติก็ได้ด้วย”
ฟังทักษิณพูด เหมือนสัญญาใจล่วงหน้าของฝ่ายประชาธิปไตย ว่าจะจับมือกันตั้งรัฐบาลสมัยหน้า
คืนถัดมา มีการโหวตลงมติกรณีสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ประชุมรัฐสภา เสียงส่วนใหญ่เลือกสูตรหาร 500 แต่นอกสภาไม่จบ มีดราม่า 500 ตามมา ระหว่างกองเชียร์เพื่อไทย-ก้าวไกล
มือทำงานสายตรงทักษิณ อย่าง ภูมิธรรม เวชยชัย ยังกระโจนมาตะลุมบอนผ่านทางทวิตเตอร์
“อาชญากรรมทางการเมืองที่รัฐบาลประยุทธและพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลร่วมกันก่อขึ้น มีพรรคฝ่ายค้านบางพรรคร่วม ปู้ยี่ ปู้ยำประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตน”
ระดับอ้วน ภูมิธรรม เหตุใดไม่เช้าใจคำชี้แจงของพรรคก้าวไกลที่อธิบายว่า การลงมติมี 2 ชั้น และในชั้นที่ 2 ก้าวไกลก็โหวตเลือกหาร 100 ซึ่งฝั่งเพื่อไทย คงอยากให้ก้าวไกลตรงไปตรงมา โหวตเห็นด้วยแบบเพื่อไทยทั้ง 2 ชั้นก็จบ
จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล มีทั้งเอกภาพ และขัดแย้งกัน มีทั้งร่วมกัน และแข่งขันกัน
ยกตัวอย่างการจัดทีมผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้มีเปลี่ยนตัวสลับเขต โดย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เขต 3 สลับกับทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เขต 1
จักรพลเป็นนักการเมืองคนรุ่นใหม่ เพื่อไทยโยกมาลงเขต 1 ที่มีกลุ่มคนวัยทำงาน นักศึกษา และนิวโหวตเตอร์ ค่อนข้างเยอะ ซึ่งพรรคก้าวไกล ก็ตั้งเป้าเจาะ ส.ส.เขต ในพื้นที่นี้เหมือนกัน ส่วนทัศนีย์ ไปลงเขต 3 อ.สันกำแพง บ้านเกิดทักษิณ
วิธีคิดแบบเก็บรายละเอียดทุกเม็ด ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก คนแดนไกลนั่นเอง แสดงว่า เพื่อไทยมองก้าวไกล เป็นคู่แข่งที่สำคัญกว่าพลังประชารัฐ และพรรคอื่นๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงภาคอีสาน และ กทม.
แนวคิดเพื่อไทยดันคนรุ่นใหม่ลง ส.ส.เขต แทน ส.ส.เก่าอายุ 70 ปี ก็มาจากการประเมินว่า คู่แข่งที่น่ากลัวคือ พรรคก้าวไกล
มาถึงวันนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน ค่อนข้างจะตกผลึกว่า ไม่ต้องแยกเป็น 2 พรรค ให้มวลชนสับสน เดินหน้าพรรคเดียว กวาด ส.ส.เขตให้ได้ตามเป้า 200 เสียง และส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั้นได้อยู่แล้ว
‘ปมร้าวลึก’
กลางปีที่แล้ว ช่วงการเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญว่าด้วยระบบเลือกตั้ง ทำให้เกิดรอยร้าวในฝ่ายค้าน เพื่อไทยเดินหน้าขอแก้เป็น บัตร 2 ใบ เหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ก้าวไกล ก็ค้านหัวชนฝา ขอเป็นบัตรใบเดียว
แถมพรรคก้าวไกลยังเสนอระบบ MMP (สัดส่วนผสมแบบเยอรมัน) ที่ต่างจากระบบจัดสรรปันส่วนผสมสูตรมีชัย ฤชุพันธ์
วันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อธิบายว่า “หากจะมีการแก้ไขระบบเลือกตั้ง ต้องมีเป้าหมายในการสร้างระบบการเลือกตั้งที่ดี ไม่ใช่มีเป้าหมายเพียงแค่การแสวงหาระบบเลือกตั้งที่พรรคการเมืองใหญ่ได้ประโยชน์มากที่สุด”
มีบางข้อมูลทำให้แกนนำก้าวไกล และกองเชียร์สีส้มเชื่อว่า เพื่อไทยจับมือพลังประชารัฐ แก้กติกาเลือกตั้ง หวนกลับไปใช้บัตร 2 ใบ ต้องมีดีลข้ามขั้วเกิดขึ้นแน่นอน
เนื่องจากเวลานั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
บรรดาติ่งส้มผสมโรงโยงไปเรื่องอุดมการณ์ประธาธิปไตย พรรคไทยก็หนีไม่พ้นข้อครหา “สู้ไป กราบไป”
ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะคนเดือนตุลา จึงออกโรงสอนน้องเรื่องแยกมิตรแยกศัตรูว่า “การทำการเมืองที่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย...ต้องเข้าใจ วิธีการจัดการ ที่สอดรับกับความเป็นจริงและเคารพความเห็นต่างของทุกฝ่าย แสวงหาความร่วมมือกับทุกคน”
ปลายปี 2564 พรรคก้าวไกลพ่ายโหวตในรัฐสภา ว่าด้วยกติกาบัตรใบเดียว และสูตรคำนวณแบบ MMP ก็ถือว่าจบ โดยช่วงหลังก็หันมาหนุนสูตร 100
บังเอิญว่า ช่วงก่อนประชุมรัฐสภา พิจารณาวาระ 2-3 กระแสหาร 500 มาแรง ส.ส.ก้าวไกลบางคนก็ออกอาการแกว่งๆ นี่คงเป็นที่มาของการโหวตแบบกั๊กๆ เลยเจอติ่งแดงถล่มแหลก ยัดข้อหาหักหลังเพื่อน
‘ไม่ใช่พรรคปาร์ตี้ลิสต์’
ระหว่างที่ติ่งแดง-ติ่งส้มยังชุลมุนฝุ่นตลบ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ออกมาชี้ว่า การเปลี่ยนจากระบบคู่ขนาน ที่หาร 100 มาเป็นระบบสัดส่วนผสมที่หาร 500 น่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมันเป็นการวางกับดักทางเมืองไว้หรือไม่
สำหรับข้อกล่าวหา พรรคก้าวไกล ได้ประโยชน์จากระบบหาร 500 ชัยธวัช อธิบายว่า “ทิศทางและเป้าหมายการเลือกตั้งครั้งหน้าและต่อๆ ไปของพรรคก้าวไกล คือการขยาย ส.ส.เขตให้มากที่สุด และให้มากกว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้นจึงไม่ใช่ผลประโยชน์ของเรา เพราะเราต้องการเป็นพรรคหลักที่จัดตั้งรัฐบาลในอนาคต”
แหล่งข่าวในพรรคก้าวไกลเปิดว่า แกนนำพรรคไม่ได้มองแค่การเลือกตั้งครั้งหน้า แต่มองไปถึงการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป และปรากฏการณ์ก้าวไกลแลนด์สไลด์จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน
“พรรคก้าวไกลไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อจะเป็นพรรคบัญชีรายชื่อ” ชัยธวัชกล่าว
ดังนั้น แนวคิดของแกนนำกลุ่มแคร์บางคน ที่พยายามเสนอให้พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคก้าวไกล โดยพรรคหนึ่งเน้น ส.ส.เขต และอีกพรรคหนึ่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ น่าจะเป็นเรื่องการพูดแก้เกี้ยวแก้เกมหาร 500 เหมือนทักษิณ พูดเรื่องฝ่ายประชาธิปไตย ได้ 300 เสียง
ในความเป็นจริง พรรคเพื่อไทย ต้องการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า เพื่อตอบโจทย์คนแดนไกล ดังนั้น คีย์แมนพรรคก้าวไกลจึงย้ำว่า “พรรคก้าวไกล ไม่ใช่พรรคปาร์ตี้ลิสต์” หรือพรรคสำรองของใคร